การบริการสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellbeing)

การให้บริการด้านการดูแลสุขภาวะทางใจ ศูนย์ให้คำปรึกษามหาวิทยาลัยมหิดล (MU Friends)

บริการให้การปรึกษา (Counselling service) : บริการให้การปรึกษารายบุคคลสำหรับนักศึกษา โดยสามารถทำการนัดหมายได้ทางกล่องข้อความ (Inbox) เพจ Facebook : Mahidol Friends ใช้เวลาในการพูดคุย 30-60 นาที โดยนักศึกษาที่มีความทุกข์ใจ หรือความเครียดสามารถรับการปรึกษาปัญหาการเรียน สัมพันธภาพ การปรับตัว หรือเรื่องอื่น ๆ โดยมีนักจิตวิทยา (Psychologist) ให้บริการ 2 คน ที่วิทยาเขตพญาไท 1 คน ศาลายา 1 คน และผู้ให้คำปรึกษา (Counselor) ที่วิทยาเขตศาลายา 1 คน

กรณีที่นักศึกษามีปัญหาเร่งด่วนฉุกเฉิน สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนสุขภาพใจ MU Hotline 088-8747385 ตลอด 24 ชั่วโมง การให้บริการอยู่ภายใต้การเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวและการรักษาความลับ

การคัดกรองนักศึกษา : การคัดกรองสุขภาพใจนักศึกษา (Early Detection) เพื่อให้เกิดการป้องกันส่งเสริมสุขภาพใจในกลุ่มที่ยังไม่ได้มีปัญหาสุขภาพใจ และช่วยเหลือผู้ที่เริ่มมีปัญหาสุขภาพใจได้อย่างทันท่วงที โดยใช้แบบวัดสุขภาพจิตคนไทย และเก็บข้อมูลในรูปแบบออนไลน์ มีการแจ้งผลทางอีเมลให้นักศึกษาทราบเป็นรายบุคคล ในรายที่มีมีความเสี่ยง เจ้าหน้าที่จาก MU Friends จะโทรนัดหมายเข้าสู่กระบวนการให้การปรึกษาต่อไป  

การติดตามการให้คำปรึกษา : มีการติดตามนัดหมายทุก 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับปัญหาและความเร่งด่วน กรณีที่พูดคุยแล้วพบว่า ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยจิตแพทย์ จะแนะนำให้นักศึกษาพบจิตแพทย์ในโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย คือโรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่นักศึกษามีสิทธิ์การรักษาพยาบาล

การป้องกันปัญหาสุขภาพใจ : MU Friends มีการจัดกิจกรรมเพื่อสนับสนุนให้เกิดทักษะ และความเข้าใจด้านสุขภาวะทางใจสำหรับนักศึกษา เช่น การจัดการความเครียด การเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตัวเอง การให้อภัยตัวเอง ศิลปะบำบัด เพื่อให้นักศึกษามีพื้นที่ปลอดภัยในการแลกเปลี่ยน และพัฒนาตนเองจากภายใน กิจกรรมจะมีการหมุนเวียนกัน สามารถติดตามกิจกรรมที่จัดขึ้นได้ทางเพจ Facebook : Mahidol Friends รวมทั้งมีบทเรียนออนไลน์ด้านสุขภาพใจในระบบ MUx ที่นักศึกษาสามารถศึกษาเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เช่น เทคนิคการจัดการความเครียด, วิชาว่าด้วยการกลั่นแกล้ง, Take care of your self

แนวทางการป้องการการทำร้ายตัวเอง : ส่งเสริมให้นักศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพใจ องค์ความรู้ด้านสุขภาพใจ และเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพใจ การลดการตีตราในการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพใจ ผ่านการประชาสัมพันธ์ผ่านเพจ Facebook : Mahidol Friends เว็บไซต์ กองกิจการนักศึกษา และเครือข่ายกิจการนักศึกษาของคณะ รวมทั้งอบรมให้ความรู้ในการจัดการเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสุขภาพใจให้กับส่วนงานต่าง ๆ

เรื่องฉุกเฉิน

ขั้นตอนการจัดการภาวะฉุกเฉินหรือภาวะอันตราย ด้านสุขภาพจิต

ภาวะฉุกเฉิน ด้านสุขภาพจิต”  เป็นภาวะวิกฤติของผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตใจที่มีการแสดงออกทางอารมณ์และพฤติกรรมที่รุนแรง โดยอาจเป็นอันตรายทั้งต่อตนเอง ทรัพย์สิน และสังคมรอบข้าง จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และ “ภาวะมีอันตราย” คือ ภาวะที่บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตแสดงพฤติกรรมที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของตนเองหรือผู้อื่น โดยพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เข้าข่ายทำให้เกิดภาวะฉุกเฉินหรือภาวะมีอันตราย มี 5 ลักษณะ คือ

  1. ประสาทหลอน (hallucination) เช่น ได้ยินเสียงแว่ว เห็นภาพหลอน
  2. ความคิดหลงผิด (delusion) เช่น หลงผิดหวาดระแวง กลัวมีคนทำร้าย คิดว่าตนเองมีความสามารถเหนือผู้อื่น
  3. พฤติกรรมแปลกกว่าคนปกติอย่างชัดเจน เช่น แต่งกายแปลกกว่าคนปกติ พูดจาสับสน พูดคนเดียว
  4. พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น เช่น ข่มขู่ ทำร้ายคนอื่น
  5. พยายามทำร้ายตนเอง พยายามฆ่าตัวตาย

ที่มาข้อมูล : คณะกรรมการบริการสุขภาพนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล (2562)

 

ก่อนเกิดเหตุ : การเฝ้าระวัง

เมื่อเกิดเหตุ :

สายด่วน MU Hotline 24 ชั่วโมง  (สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล)

 08 88874 7385  ตลอด 24 ชั่วโมง

เหตุผลที่นักศึกษาจะติดต่อมาพูดคุย

  • ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
  • มีความคิดฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตนเอง
  • รู้สึกทุกข์ เศร้า
  • อยู่ระหว่างการรักษา หรือรอคิวนัดหมาย แต่จำเป็นต้องพูดคุยกับใครสักคน

สิ่งที่ควรทำ เมื่อเห็นว่าอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือภาวะวิกฤต

  • โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือทันที โทร.191  และ  โทร. 1669 ด้วย  กรณีที่มีแนวโน้มฉุกเฉินด้านสุขภาพ เช่น มีการทำร้ายตัวเอง หรือผู้อื่นไปแล้ว
  • ขอความช่วยเหลือที่เบอร์โทรฉุกเฉินของวิทยาเขต
  • คำนึงถึงความปลอดภัยของตนเอง และผู้อื่น เป็นสำคัญ
  • คิดถึงข้อจำกัดของตนเองเสมอ ว่าสิ่งใดทำได้หรือไม่ได้
  • หลีกเลี่ยงการตัดสินใจโดยไม่มีผู้เชียวชาญ ให้ขอความช่วยเหลือจากผู้เกี่ยวข้อง
  • หลีกเลี่ยงการตัดสินใจแทนเพื่อน

การจัดการความเครียด (Stress management)

ความเครียด เป็นการตอบสนองต่อร่างกายที่มากระตุ้น มีผลให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสรีรวิทยา ในลักษณะสู้หรือหนี (Fight or flight) เพื่อรักษาภาวะสมดุล ซึ่งแต่ละคนตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและสิ่งแวดล้อม

ปฏิกิริยาเครียดและวิธีการจัดการ

ปฏิกิริยาเครียด
วิธีการจัดการ
ขั้นที่ 1 มีความเครียดต่ำๆ การรับรู้ดี ตื่นตัว มีการแสดงออกทางบวก กระตือรือร้น
รักษาระดับความเครียดต่ำไว้ ไม่เพิ่มตัวกระตุ้น หรือสิ่งที่จะทำให้เครียดเพิ่มมากขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอและระบายออกอย่างเหมาะสม
ขั้นที่ 2 เริ่มพลังถดถอย เครียด ปวดศีรษะ มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน
พยายามรู้เท่าทัน เลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เครียด พูดคุยกับคนรอบข้าง ช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้น โดยทำกิจกรรมที่ชอบเพื่อให้อาการเหล่านั้นลดลง หรือใช้เทคนิคการผ่อนคลาย
ขั้นที่ 3 เพิ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่เหมาะสม หงุดหงิด วิตกกังวล สมาธิไม่ดี กลัวอะไรที่บอกไม่ได้ เริ่มต่อต้าน
สังเกต และพยายามควบคุมอาการ หรือลดอาการลง ถ้าไม่ดีขึ้นควรพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยเหลือต่อไป
ขั้นที่ 4 ฮอร์โมน adrenaline หลั่ง ใจเต้นแรงและเร็ว เหงื่อออกชุ่ม ตัวสั่น อ่อนล้า ในที่สุดควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ควรพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมิน อาจต้องใช้ยา ควบคู่กับการบำบัดทางจิตใจ หรือฝึกการผ่อนคลายความเครียด
ขั้นที่ 5 หมดความอดทน (burn out) รู้สึกด้อยค่า ขมขื่น ไร้ความสามารถ มีอาการทางกาย เช่น ปวดท้อง ปวดศีรษะ หอบหืด ใจสั่น เจ็บหน้าแก ความดันโลหิตสูง ท้องผูก ท้องเสีย
จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา รวมถึงฟื้นฟูสภาพจิตใจ

วิธีการจัดการความเครียด

วิธีการ
ตัวอย่าง
ด้านความคิด
ปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่
ด้านอารมณ์
หาคนให้กำลังใจ สนับสนุน เป็นที่ปรึกษา สร้างอารมณ์ขัน
ด้านพฤติกรรม
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เพื่อลดความเครียด เช่น บริหารจัดการเวลาให้ดี
ด้านร่างกาย
ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อน ฝึกการผ่อนคลาย นั่งสมาธิ หรือกินยาตามแพทย์สั่ง

5 ขั้นตอนสงบใจด้วยเทคนิค 54321 (Grounding Technique)

เทคนิคการตั้งหลัก/ตั้งสติหรือเราเรียกกันว่า Grounding Technique เป็นกระบวนการที่ช่วยนำพาความสงบใจกลับมาสู่ตัวเรา โดยสามารถใช้เมื่อเกิดความรู้สึกบางอย่างอย่างท่วมท้น เช่น รู้สึกเครียด วิตกกังวล ประหม่า Grounding Technique มีเทคนิควิธีมากมายหลายวิธี หนึ่งในนั้นที่น้อง ๆสามารถทำตามได้ง่าย ๆด้วยตนเองคือเทคนิค 54321 ซึ่งใช้การตั้งหลักโดยการพาการรับรู้ด้านต่าง ๆของเรากลับมาอยู่ที่ปัจจุบันขณะ และระบุการรับรู้นั้นออกมาเพื่อสร้างความตระหนักตัวเอง

ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ถ้าสะดวกสามารถลองทำตามไปด้วยกันได้เลย ถ้าพร้อมแล้ว 5-4-3-2-1 เริ่ม!

5 สิ่งที่มองเห็น เริ่มต้นจากตา กวาดสายตามองไปรอบ ๆตัว และระบุ 5 สิ่งที่เราเห็นตรงหน้าในตอนนี้มีอะไรบ้าง หรือจะตั้งโจทย์มากขึ้นเช่น มองหาสิ่งที่เป็นสีฟ้า/สีเขียว 5 รอบตัวเรา

4 สัมผัส ใช้ช่วงเวลานี้พาการรับรู้กลับมาอยู่กับร่างกายของเรา ตระหนักถึงสิ่งที่สัมผัสผิวกายของเราและระบุออกมา 4 อย่าง อาจจะเป็นสิ่งที่สัมผัสกับเราอยู่แล้วเช่นเสื้อผ้า เท้าที่สัมผัสพื้น หรือจะลองหาสิ่งของรอบตัวมาหยิบจับ เมื่อเรารับรู้ถึงสัมผัสเหล่านี้แล้วบอกได้ไหมว่าสัมผัสนั้นรู้สึกอย่างไร

3 เสียงที่ได้ยิน ให้เวลาตัวเองหยุดเงียบเพื่อฟัง ระบุ 3 เสียงรอบตัวที่ได้ยินอยู่ในขณะนี้

2 กลิ่น สังเกตการรับรู้ผ่านจมูกของเรากันบ้าง สูดดมกลิ่นรอบตัว ระบุ 2 กลิ่นที่เราสัมผัสได้ ตอบได้ไหมว่าแต่ละกลิ่นเป็นอย่างไร

1 ลมหายใจ สูดลมหายใจเข้าทางจมูกลึกๆช้า ๆนับ 1-2-3-4 ในใจ กลั้นลมหายใจพร้อมนับ 1-2 ในใจ ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกช้า ๆขณะนับในใจ 1-2-3-4 อยู่กับลมหายใจของเราได้มากเท่าที่ต้องการ เพื่อสร้างความพร้อมในการตั้งหลักตั้งสติและพร้อมไปต่อกับตัวเราเอง

ดนตรีบำบัด (music therapy)

  • ดนตรีบำบัด (music therapy) คือ ?

การใช้กิจกรรมทางดนตรี ไม่ว่าจะเป็นการฟังหรือเล่นดนตรี การร้องเพลง แต่งเพลง เพื่อบำบัดความเจ็บป่วย ฟื้นฟูสภาพร่างกาย อารมณ์ และสติปัญญา

  • ดนตรีเป็น “mind medicine”

ธรรมชาติของดนตรีที่ไร้พรมแดน มีได้หลากหลายรูปแบบ ทำให้เข้ากับคนได้อย่างไม่จำกัดเพศ วัย เชื้อชาติและศาสนา ดนตรีช่วยในการรักษาปัญหาทางร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าท่านจะฟังดนตรีประเภทใด

ดนตรีกระตุ้นสมองเกือบทุกส่วน เช่น ส่วน auditory (การได้ยิน), motor cortex (เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของแขน ขา ใบหน้า) limbic system (อารมณ์ จิตใจ การตระหนักรู้ ความเข้าใจ และความจำ)

  • ดนตรีบำบัดช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น
    • ช่วยเพิ่มความมั่นใจและการกล้าแสดงออก
    • ช่วยในการฝึกควบคุมอารมณ์ของตนเอง
    • ช่วยให้เกิดจินตนาการ และการฝึกคิดวิเคราะห์
    • ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ
    • ช่วยผ่อนคลายทางด้านจิตใจ
  • การใช้ดนตรีบำบัดจะให้ผลดีมากน้อยเพียงใด

ขึ้นอยู่กับความชอบดนตรี และสภาวะทางร่างกายและจิตใจของแต่ละบุคคล ซึ่งมีความแตกต่างกัน ทำให้การตอบสนองต่อการใช้ดนตรีบำบัดแตกต่างกันไปด้วย

เอกสารอ้างอิง :

“ดนตรีบำบัด” โดย รองศาสตราจารย์ ดร. จิรภรณ์ อังวิทยาธร คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล

ฟังดนตรีบำบัด

การนอนงีบ (napping)

การนอนหลับในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อชดเชยเวลานอนไม่เพียงพอ หรือรู้สึกง่วงระหว่างเวลาตื่น ซึ่งการนอนงีบจะช่วยเพิ่มพลังให้กับสมอง และระบบภายในร่างกายของเรา ทำให้รู้สึกตื่นตัวได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดความตึงเครียด ทำให้จิตใจสดชื่นแจ่มใส ก็จะกลับมาเป็นปกติ

ประโยชน์ของการงีบ

  • ผ่อนคลาย
  • ปรับอารมณ์
  • ลดความเหนื่อยล้า
  • เพิ่มความกระฉับกระเฉง
  • เพิ่มการตอบสนองที่เร็วขึ้น
  • ทำให้ความจำดีขึ้น

เมื่อไรที่ควรงีบ

  • รู้สึกพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • รู้สึกเหนื่อยล้าติดต่อกันมานาน
  • วิธีที่ดีที่สุดในการ “งีบ”
  • ใช้เวลานอน เพียงแค่ 10-20 นาที
  • (การใช้เวลานอนมากกว่านี้ เช่น 30 นาที หลังจากตื่นขึ้นมาแล้ว จะมีอาการมึนงง ร่างกายยังคงง่วงอยู่ หรือบางคน)อาจจะรู้สึกปวดหัวเล็กน้อยด้วย
  • นอนในช่วงบ่าย (หากนอนหลัง 15.00 น.  อาจมีผลกระทบต่อการนอนหลับในเวลากลางคืนได้)
  • นอนในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น มืด เงียบ ไร้สิ่งรบกวน อากาศปลอดโปร่ง

Napping Music

การเมตตากรุณาต่อตนเอง (Self-compassion)

“ไม่ต้องใจร้ายกับตัวเองมากนักก็ได้นะ”

self compassion นี้ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ ๆ คือ

1. ใจดีกับตัวเราเอง (self kindness) คือ การที่เราปฏิบัติกับตัวเราเอง เหมือนกับที่เราปฏิบัติกับเพื่อนที่เรารัก คนหนึ่ง หลายครั้งเวลาที่เพื่อนเราทุกข์ หรือทำอะไรผิด เราพร้อมที่จะให้ยกโทษให้ บอกว่าไม่เป็นไร และให้กำลังใจ แต่กับตัวเราเองบางครั้งก็เป็นการยากเหลือเกิน ที่เราจะบอกคำว่า “ไม่เป็นไร” กับตัวเรา

2. เห็นความเป็นมนุษย์ในตัวเรา (common humanity) ความเป็นมนุษย์ในที่นี้ หมายถึง ความไม่สมบูรณ์แบบ (to be imperfect) เพราะบนโลกใบนี้ไม่มีทุกคนสมบูรณ์แบบ และทุกคนเคยมีทำผิดพลาด หรือมีข้อผิดพลาด

หากเราเห็นได้ว่า ความผิดพลาด หรือความไม่สมบูรณ์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องมี เวลาที่เราทุกข์ หรือเรารู้สึกว่าเราไม่ดีพอ หากเรายอมรับความจริงได้ ใจเราก็จะสบายขึ้นไม่น้อย

3. การมีสติรู้อยู่กับปัจจุบัน (mindfulness) การมีสติ คือการกลับมาตระหนักรู้อยู่กับกายใจในปัจจุบันขณะ ทำให้เราเห็นได้ว่า ความทุกข์ที่ผ่านเข้ามา เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านมา และผ่านไป หลายครั้งความทุกข์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ คือ ความคิดของเราที่วนเวียนอยู่กับเรื่องที่ทำให้เราทุกข์อยู่อย่างนั้น เช่น เราถูกคนอื่นต่อว่าเมื่อวานนี้ เรื่องที่เค้าต่อว่ามันก็จบไปตั้งแต่เมื่อวานนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ เพราะว่า เรายังคิดถึงเรื่องนั้นซ้ำไปซ้ำมา คนอื่นว่าเราครั้งเดียว แต่ที่เหลือเป็นครั้งที่ฉายภาพนั้นซ้ำไปซ้ำมาในหัวเรา

“วันนอนหลับโลก”

รู้หรือไม่ วันศุกร์สัปดาห์ที่สองของเดือนมีนาคมของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันนอนหลับโลก เพื่อสร้างให้ประชากรโลกตระหนักและเห็นความสำคัญของการมีคุณภาพการนอนหลับที่ดี

MU Friends จึงนำความรู้เกี่ยวกับเทคนิคที่ช่วยสร้างคุณภาพการนอนมาฝากกันค่ะ

**************************************************************************

“การหลับพร้อมเกิด เมื่อกายและใจผ่อนคลาย”

15 วิธีที่ทำให้การนอนหลับดีขึ้น

1. ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์

แต่ไม่แนะนำให้ออกกำลังกายหลัง 20.00 น. เพราะจะทำให้ร่างกายตื่นตัวจนส่งผลต่อการนอนได้

2. อย่างีบหลับตอนกลางวันหรือตอนเย็น

เนื่องจากตามปกติร่างกายของเราจะสะสมความง่วงระหว่างวัน และมักจะง่วงมากที่สุดช่วงบ่าย หลายๆคนเลยมักนอนหลับตอนบ่าย ซึ่งทำให้ความง่วงสะสมระหว่างวันมีไม่มากพอให้หลับได้ในช่วงเวลากลางคืน แต่หากรู้สึกเพลียมากจริงๆแนะนำให้ใช้การงีบในท่านั่งเวลาสั้นๆไม่นานเกิน 30 นาทีและควรทำก่อนเวลา 15.00 น.

3. งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ โกโก้ น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ทุกชนิด

หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงทั้งหมด แต่ในปัจจุบันหลายคนติดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หากจำเป็นต้องดื่มจริง ๆ แนะนำให้ดื่มในปริมาณแค่พอหายอยากและดื่มก่อนเวลาเที่ยงวัน ส่วนการดื่มแอลกอฮอล์นั้น หลายคนอาจจะรู้สึกว่าช่วยให้หลับง่าย แต่แท้จริงแล้วแม้แอลกอฮอล์ช่วยในช่วงต้นของการนอนให้หลับง่ายก็จริง แต่ก็จะเป็นตัวขัดขวางการหลับลึกอย่างมาก ส่งผลต่อคุณภาพการนอนทำให้หลับไม่สนิท ตื่นเช้าขึ้นมาจะรู้สึกไม่สดชื่น ง่วงค้างหรือที่เราเรียกกันว่าอาการแฮงค์นั่นเอง

4. อย่าทานอาหารเย็น หรือ อาหารมื้อหนักก่อนเข้านอน ควรเว้นระยะเวลาทานอาหารเย็นกับเวลาก่อนเข้านอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง

ตามปกตินาฬิกาชีวิตของเราทำงานสัมพันธ์กับการขึ้นลงของดวงอาทิตย์ เมื่อพระอาทิตย์ตก ระบบการเผาผลาญในร่างกายของมนุษย์จะทำงานได้น้อยลง ซึ่งอาจส่งผลต่ออาการท้องอืดหรือกดไหลย้อนได้ ดังนั้นหากเป็นไปได้หลัง 18.00 น. ไม่ควรรับประทานอะไร แต่ในชีวิตจริงอาจทำได้ยากฉะนั้นพยายามรับประทานอาหารช้าที่สุดไม่ควรเกิน 20.00 น. เพื่อไม่ใช้ร่างกายในการย่อยอาหารระหว่างช่วงเวลานอน ซึ่งอาจไปรบกวนคุณภาพการนอนได้

5. ไม่ควรทำกิจกรรมที่ทำให้จิตใจได้รับการกระตุ้นก่อนนอน

เช่น การฟังเรื่องเล่าระทึกขวัญ การรับข้อมูลข่าวดราม่าก่อนนอน หรือพูดคุยกันเรื่องจริงจังที่ส่งผลต่ออารมณ์ เพราะกิจกรรมเหล่านี้ง่ายต่อการกระตุ้นอารมณ์และความเครียดของเราได้

6. งดท่องโลกอินเตอร์เน็ต งดใช้อุปกรณ์สื่อสาร งดอุปกรณ์ไอที 30-60 นาทีก่อนเข้านอน

เพราะอุปกรณ์เหล่านี้มีส่วนทำให้สมองเราทำงานโดยใช้คลื่นเบต้าเวฟ ซึ่งเป็นคลื่นสมองที่ใช้ความคิดและการหลับไปในช่วงคลื่นเบต้าเวฟนี้จะส่งผลให้คุณภาพการนอนหลับไม่ดี แม้ตัวเราจะรู้สึกว่าได้พักผ่อนแต่สมองไม่ได้พัก เพราะสมองต้องทำงานโดยการเสพข้อมูล รับรู้ข้อมูลข่าวสารตลอดเวลา

7. พยายามจัดเวลาสำหรับการผ่อนคลายกายใจช่วงหนึ่ง ประมาณ 30 นาทีก่อนเข้านอน

อาจเป็นการฟังเพลงบรรเลงเบาๆก่อนนอนเพื่อผ่อนคลาย ฝึกเทคนิคการหายใจเพื่อการผ่อนคลาย หรือการทำสมาธิก่อนนอน (แต่เน้นเป้าหมายเพื่อการผ่อนคลายเป็นหลัก ไม่ใช่การทำเพื่อเป็นสมาธิที่อาจทำให้จดจ่อจนใจตื่นเกินไป)

8. ปรับห้องนอน อุณหภูมิพอดี เงียบ ไม่มีแสง และ มีเครื่องนอนที่ให้ความสบาย

เพื่อเป็นการจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการนอนหลับที่ดี

9. เตียงนอน มีไว้สำหรับการนอนกับกิจกรรมทางเพศเท่านั้น

ไม่ควรเอากิจกรรมอื่นใดนอกเหนือจากนี้ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สามารถทำที่อื่นได้มาทำบนเตียง เพราะในบางคนมักเคยชินในการใช้เตียงทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น นั่งทำงาน/อ่านหนังสือบนเตียง ดูซีรีย์บนเตียง อ่านหนังสือบนเตียง การที่เราใช้เตียงในการทำกิจกรรมอื่นๆจะทำให้สมองเกิดการเรียนรู้จดจำแบบเข้าใจผิดว่าเตียงไม่ใช่ที่นอนและเกิดการตื่นตัวขึ้นทุกครั้งที่เราอยู่บนเตียง จึงควรปรับการเรียนรู้ของสมองให้เข้าใจว่าเตียงคือที่นอนและสถานที่ผ่อนคลาย

10. เมื่อเอนตัวลงนอนแล้ว เกิดมีความคิดกังวล ให้จดไว้ว่ากำลังกังวลอะไร และอนุญาตให้ตนเองนอนก่อน พรุ่งนี้ค่อยดำเนินการตามที่จดไว้

11. ไม่ควรดื่มน้ำปริมาณมาก ๆ หลังอาหารเย็น และควรปัสสาวะก่อนเข้านอน

การดื่มน้ำปริมาณมากควรทำช่วงตอนกลางวัน แต่หลัง 18.00 น. ควรดื่มเพียงปริมาณน้อย เพื่อไม่ให้รบกวนการนอนที่ต้องตื่นมาเพื่อเข้าห้องน้ำระหว่างคืน

12. หากนอนเป็นเวลา 30 นาทีแล้ว แต่ยังนอนไม่หลับ อย่าฝืนนอนต่อบนเตียง ให้ลุกมานั่งผ่อนคลายหลับตานอกเตียง

เหมือนเป็นการ “นั่งหายใจทิ้งผ่อนคลายกายใจ” สามารถนั่งบนโซฟา เก้าอี้หรือพื้นที่เรารู้สึกสบาย นั่งพักสายตาเบา ๆ ผ่อนคลาย อาจเปิดเพลงบรรเลงคลอ วางกายวางใจให้ผ่อนคลาย เรียกได้ว่าเป็นการนั่งหายใจทิ้งเพื่อสร้างความผ่อนคลาย การที่ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายจะเป็นแต้มต่อให้การนอนหลับเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น แต่ถึงแม้บางคนที่ใช้การนั่งหายใจทิ้งเพื่อผ่อนคลายแล้ว แต่ร่างกายก็ยังไม่รู้สึกง่วงพอจะหลับได้ ก็ยังถือว่าได้รับประโยชน์เพราะการที่กายใจผ่อนคลายนั้นเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายก็ได้พักผ่อนแล้ว มีงานวิจัยออกมาชัดเจนว่าแม้ในคนที่ไม่ได้นอนจนถึงเช้าแต่กายใจผ่อนคลายก็ไม่ได้ส่งผลกระทบให้ร่างกายแย่ เพราะร่างกายได้มีเวลาผ่อนคลาย ฮอร์โมนเครียดในร่างกายก็มิได้ถูกหลั่ง ภูมิคุ้มกันจึงไม่ตกลง แต่ในกลุ่มที่เครียดเพราะนอนไม่หลับ พยายามทำให้ตัวเองหลับ ร่างกายมักแย่ลงเพราะมีสารในร่างกายที่หลั่งออกมาเพื่อสร้างความตื่นตัวและความเครียด จนส่งผลต่อระดับภูมิคุ้มกันที่ลดลงได้ ดังนั้นเป้าหมายที่แท้จริงของการนั่งหายใจทิ้งเพื่อผ่อนคลาย คือการสร้างสภาวะที่ผ่อนคลายห้กายใจมากกว่าการต้องนอนให้หลับ

13. อย่าดูนาฬิกาบ่อยๆ การดูนาฬิกาบ่อยๆเป็นการกดดันตัวเองว่าทำไมถึงไม่หลับสักที

บางคนที่นอนไม่หลับเรื้อรังมักเกิดความพะวงที่นอนไม่หลับ และจะยิ่งดูนาฬิกา ซึ่งจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดความกังวลมากขึ้นได้จนใจไม่ผ่อนคลาย

14. หากคู่นอนมีอาการนอนกรนหรือนอนดิ้นอาจใช้ที่อุดหูช่วยก่อน หรือ อาจจำเป็นต้องแยกเตียงนอน/ห้องนอน

อย่างไรก็ตามหากเป็นไปได้ทางที่ดีควรพาคู่นอนที่กรนไปรักษา เนื่องจากการนอนกรนถือเป็นความผิดปกติในทางการแพทย์ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุความเสี่ยงของสมองเสื่อมในอนาคตได้ง่ายขึ้นกว่าคนทั่วไป

15. ควรตื่นนอนตรงเวลาทุกวัน

เราอาจไม่สามารถควบคุมการนอนได้เสมอไป แต่เราสามารถควบคุมเวลาตื่นของตนเองให้ตรงเวลาในทุกวันได้ การตื่นตรงเวลาในทุกวันจะช่วยให้การนอนหลับของเราตรงเวลาเองในที่สุด เพราะร่างกายจะจดจำระบบแบบแผนการทำงานนี้ไปโดยอัตโนมัติ โดยเวลาที่ตั้งตื่นควรเป็นเวลาตามช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นไม่เกิน 8.00 น. เพื่อสามารถให้ร่างกายนอนได้ก่อนเที่ยงคืน

การเสวนาในหัวข้อ “ปัญหาสุขภาพจิตกับการนอนหลับ”

วิทยากร ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

จัดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 31 พ.ค. 2566

ภาวะ Panic ช่วงสอบ (Exam Panic)

ภาวะ Panic ช่วงสอบ (Exam Panic) คือภาวะที่มักเกิดขึ้นกับนักเรียน/นักศึกษาในช่วงสัปดาห์สอบ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งช่วงเวลาเตรียมสอบและขณะที่อยู่ในห้องสอบ อาจเป็นความรู้สึกรบกวนใจ กลัว กังวลเกี่ยวกับการเรียนของตนให้ออกมาได้ดี มีความคิดที่อยากจะเตรียมตัวกับการสอบล่วงหน้าให้ได้มากและดีที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ในบางคนอาจพบว่าตนเองมีความรู้สึกกลัว กังวลใจและความรบกวนใจในเรื่องสอบที่มากจนเกินกว่าปกติจนก่อเกิดเป็นความเครียดที่สูง สิ่งที่จะช่วยหลีกเลี่ยงภาวะดังกล่าวได้คือการให้เวลาคอยกลับมาสังเกตความเปลี่ยนแปลงในตนเองจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้เท่าทันและดูแลตนเองได้เร็วมากยิ่งขึ้น หากเราเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตนเองที่เป็นเหมือนสัญญาณเตือนของภาวะ Panic ช่วงสอบ ไม่ว่าจะเป็นทางร่ากายและทางจิตใจ สิ่งที่เราควรทำคือการหยุดให้เวลาตัวเองสัก 5 นาที เพื่อกลับมาตั้งหลักตั้งสติโดยการรับรู้และจัดการอารมณ์ของตัวเองก่อน เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะลุยต่อกับสิ่งตรงหน้าต่อไป การยอมสละเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อจัดการอารมณ์ของเราให้มีความมั่นคงและพร้อมเผชิญปัญหาตรงหน้า มักทำให้การแก้ปัญหาของเราดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าตอนที่เรารู้สึกว้าวุ่นใจ

สัญญาณทางกาย

  • รู้สึกป่วย เช่น ปวดท้อง ปวดหัว คลื่นไส้ ฯลฯ
  • มือสั่นและชุ่มเหงื่อ
  • รู้สึกร้อนๆหนาวๆสลับกัน
  • หายใจสั้นและถี่ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องไม่เต็มปอด
  • ท้องไส้ปั่นป่วน

สัญญานทางใจ

  • ขาดสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อได้
  • คิดอะไรไม่ออกเหมือนความคิดในหัวถูกบล็อค หรือ ในบางรายอาจคิดเยอะ คิดไม่หยุด สงบสติอารมณ์ตนเองไม่ได้
  • ความทรงจำเลือนหายไป

วิธีการจัดการกับภาวะอาการเหล่านี้ เราสามารถใช้วิธีการตั้งหลัก/ตั้งสติ และเทคนิคการคลายเครียดที่เคยเรียนรู้มาได้  เช่นเทคนิค 54321 (สามารถอ่านได้ใน link ด้านล่างบทความ) นอกจากนี้วันนี้ MU Friends มี เทคนิค“หยุด” พิชิต Panic ช่วงสอบ มานำเสนอให้น้อง ๆ ได้ลองฝึกฝนทำตามกันดู ซึ่งจะได้ผลดีหากได้ทำการฝึกฝนล่วงหน้าเป็นประจำก่อนเจอสถานการณ์จริงเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับตนเอง

เทคนิค “หยุด” พิชิต Panic ช่วงสอบ

1. พูดว่า “หยุด” กับตัวเอง พูดออกมาดังๆได้ตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อม หรือถ้าสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยสามารถพูดดังๆกับตัวเองในใจแทนได้

2. หายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นลมหายใจไว้สักหน่อย

3. ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ พร้อมผ่อนคลายมือและไหล่

4. นิ่งพักสักครู่ ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง

5. ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ พร้อมผ่อนคลายหน้าผากและกราม

6. ใช้คำพูดดี ๆ ที่ช่วยยืนยันสร้างความเชื่อมั่นและให้กำลังใจตนเอง เช่น “ฉันทำได้” “ฉันจะจัดการมันได้” “ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่”

7. ให้เวลาตนเองได้กลับมาอยู่กับความเงียบเพื่อตั้งหลักสักครู่

8. กลับมาดำเนินการสิ่งที่ต้องทำตรงหน้าต่อไป โดยพยายามใช้การเคลื่อนไหว่วนต่างๆของร่างกายให้ช้าลง เช่น การหยิบจับ การหายใจ หากต้องใช้การพูด ให้พูดด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำลง

น้อง ๆ นักศึกษามหิดลคนไหนที่ลองทำวิธีการต่าง ๆเหล่านี้แล้วแต่ยังรู้สึกว่าไม่สามารถผ่อนคลายตนเองได้ สามารถนัดหมายเพื่อรับบริการให้คำปรึกษากับ MU Friends หรือโทรสายด่วน MU Hotline ได้นะคะ

อ้างอิงข้อมูลจาก
http://www.docs.sasg.ed.ac.uk/StudentCounselling/SCSbooklets/Step%20by%20step%20guide%20to%20exam%20success.pdf?fbclid=IwAR2LjWjgRCPMVqEj_vdL5jv5ubLavsn8okpSOYXF_YRpocZ9fTMwO9gh3XY

Self-care tips for international students

บทเรียนออนไลน์สำหรับนักศึกษา

บทเรียนออนไลน์ มีทั้งสิ้น 3 รายวิชาคือ

1. ว่าด้วย…การกลั่นแกล้ง

2. เทคนิคการจัดการความเครียด

3. Take Care of Yourself

เมื่อนักศึกษาเข้าเรียนบทเรียนออนไลน์จบ พร้อมทำแบบทดสอบผ่านเกิน 70 % จะได้รับชั่วโมงกิจกรรมส่งเสริมหลักสูตร Activity Transcript (AT) ด้าน Health Literacy ใน Mahidol HIDEF จำนวนตามที่แต่ละรายวิชากำหนดไว้

วิธีการเข้าเรียน

1. ไปที่ https://mux.mahidol.ac.th/login

2. Login เพื่อเข้าสู่ระบบ โดยการใช้ MU Account

ใส่ชื่อรายวิชา ในช่องค้นหา

บทเรียนออนไลน์ ว่าด้วย…การกลั่นแกล้ง  เป็นวิชาที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของการกลั่นแกล้งรังแก (bullying) ทั้งเรื่องของนิยาม ประเภทของการกลั่นแกล้งรังแก ลักษณะและผลกระทบในการเป็นผู้ที่กลั่นแกล้งและผู้ถูกกลั่นแกล้ง การรับมือเมื่อถูกกลั่นแกล้งรังแก รวมไปถึงการป้องกันการกลั่นแกล้งรังแก

บทเรียนออนไลน์ Take Care of Yourself เป็นวิชาที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้นักศึกษา มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องอารมณ์ คุณค่าในตัวเอง การให้อภัยตัวเอง และการจัดการกับความผิดหวัง รวมทั้งเรียนรู้ การฝึกปฏิบัติที่สามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เพื่อให้นักศึกษามีสุขภาวะทางใจที่ดียิ่งขึ้น

บทเรียนออนไลน์ เทคนิคการจัดการความเครียด เป็นวิชาที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้นักศึกษา มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องความเครียด สามารถประเมินระดับความเครียดของตนเอง ทราบสาเหตุของความเครียด และรู้จักวิธีการจัดการความเครียดที่หลากหลาย ได้ฝึกปฏิบัติการจัดการความเครียดที่สามารถนำมาใช้ได้จริง ในชีวิตประจำวันเพื่อให้นักศึกษามีสุขภาวะทางใจที่ดียิ่งขึ้น

บทเรียนออนไลน์สำหรับอาจารย์และบุคลากร

บทเรียนออนไลน์ มีทั้งสิ้น 7 รายวิชา ดังนี้

1.เข้าใจวัยรุ่น

2. การจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับนักศึกษาในยุคปัจจุบัน

3. การสังเกตพฤติกรรมและการช่วยเหลือนักศึกษาที่มีปัญหาสุขภาพใจ

4. การให้ข้อมูลแก่นักศึกษา

5. ทักษะการให้คำปรึกษาเบื้องต้น

6. ปัญหาที่พบบ่อยในนักศึกษาและวิธีการช่วยเหลือ

7. การดูแลใจตัวเองของผู้ทำงานด้านสุขภาวะทางใจนักศึกษา

บทเรียนออนไลน์สำหรับอาจารย์และบุคลากร พัฒนาขึ้นเพื่อให้อาจารย์ได้เรียนรู้และเข้าใจวัยรุ่น ทักษะการสื่อสาร เทคนิคการให้คำปรึกษาที่สามารถนำไปใช้ในกระบวนการให้คำปรึกษาได้จริง ได้รับความรู้ เจตคติ และทักษะที่จะนำไปต่อยอดในการช่วยเหลือนักศึกษา ทำให้สามารถเข้าถึงนักศึกษา ทราบปัญหาที่เกิดขึ้น และแนะนำช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที

วิธีการเข้าเรียน สามารถเข้าเรียนได้ 2 ช่องทาง คือระบบ Mux และ KM Masterclass

ระบบ Mux

1. ไปที่ https://mux.mahidol.ac.th/login

2. Login เพื่อเข้าสู่ระบบ โดยการใช้ MU Account

3. ค้นหาบทเรียน โดยใช้ รหัสวิชา SA2022 / ชื่อวิชา /  หรือคำว่า “mufriends”

 ระบบ KM Masterclass

1. ไปที่ https://kmmasterclass.mahidol.ac.th/login

2. Login เพื่อเข้าสู่ระบบ โดยการใช้ MU Account

3. ค้นหาบทเรียน โดยใช้ ชื่อวิชา หรือไปที่หัวข้อ KM Faculty ด้านล่างของหน้า

ช่องทางการรับการปรึกษาหน่วยงานภายใน

“ที่ปรึกษาทางใจ” Mental health counseling สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล

….ในช่วงเวลาที่น้อง ๆ รู้สึกเครียด ผิดหวัง ท้อใจ หรือมีภาวะใดที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ…
ช่องทางเหล่านี้ จะเป็นทางเลือกสำหรับน้อง ๆ ในการหาทางออก ระบายความอึดอัดคับข้องใจที่น้อง ๆ พบเจอในชีวิตประจำวัน

ปัญหาทางด้านสุขภาพใจ เป็นปัญหาที่จัดการได้ ดูแลได้ เมื่อเราเข้าใจ ยอมรับ…เราจะพบทางออกไปด้วยกัน

หน่วยงานภายใน

“MU Friends” หรือ ศูนย์ให้คำปรึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล (ศาลายา)

ตั้งอยู่ที่ ศูนย์การเรียนรู้มหิดล (Mahidol Learning Center ชั้น 3)
พูดคุยกับนักจิตวิทยา หรือผู้ให้คำปรึกษา ได้โดยการนัดหมายผ่านทาง FB Inbox : MahidolFriends หรือ
เข้าเมนูนัดหมายจากเว็บไซต์ : bit.ly/m/MUF
โดยผลการนัดหมาย จะแจ้งทาง E-mail หรือ ทาง Inbox
หรือ โทร. 02-849 4538 เวลา 09.00-16.30 น. (ยกเว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์)

“MU Friends” หรือ ศูนย์ให้คำปรึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล (พญาไท)

จันทร์: คณะวิทยาศาสตร์ (SC) ห้องประชุม RF3 ตึกเคมี (ตึก C) ชั้น 1
อังคาร – พุธ: คณะสาธารณสุขศาสตร์ (PH)
อาคารจรัส ยามะรัตน์ (ตึก 4) ชั้น 1
พฤหัสบดี – ศุกร์: คณะเภสัชศาสตร์ (PY) ห้องให้คำปรึกษา ชั้น 1 อาคารเทพรัตน์

ลงทะเบียนนัดหมาย https://bit.ly/MUF-Phayathai
ติดต่อสอบถาม FB Inbox : @MahidolFriends

เวลา 9.00 – 16.30 น. (ยกเว้นวันหยุดราชการ)

MU Hotline” (สายด่วนสุขภาพใจ ม.มหิดล)

เป็นอีกหนึ่งบริการ ที่จะคอยรับฟังปัญหาของน้อง ๆ ตลอด 24 ชั่วโมง โทร. 088-874 7385
*** สำหรับนักศึกษา ม.มหิดล ที่มีปัญหาสุขภาวะทางใจ ***

Ramathibodi Student Well-being Center (RASW)

สำหรับนักศึกษารามาธิบดีทุกหลักสูตร ทั้ง แพทย์, สื่อความหมาย, ฉุกเฉินการแพทย์, พยาบาล และสถาบันราชสุดา  การติดต่อ/ทำนัดหมาย

สามารถทำนัดเพื่อรับบริการ โดยสแกน QR Code ใน poster หรือคลิก https://linktr.ee/RAMAwellbeingcenter

– วิทยาเขตพญาไท ให้บริการ online และ on-site ณ ห้องประชุมกิจการนักศึกษา ชั้น 1 อาคารหอพักนักศึกษาแพทย์ (ชั่วคราว)

– วิทยาเขต CNMI ให้บริการ ทั้ง online และ on-site ณ well-being center ห้องชมรม 3 ชั้น 1 อาคารนันทนาการ

เวลาทำการ 08:30 – 16:30 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ

งานกิจการนักศึกษา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

สำหรับนักศึกษาแพทย์และนักศึกษาโรงเรียนในสังกัดคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

สามารถติดต่อนักจิตวิทยา งานกิจการนักศึกษา ได้ที่เบอร์ 065-5026174 หรือ ไลน์ @mnh6806x เวลาทำการ 08:00 – 16:30 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ

Adolescent Clinic หรือ คลินิกวัยทีน

ตั้งอยู่ที่ : อาคารปัญญาวัฒนา สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

น้อง ๆ สามารถติดต่อขอรับบริการ โดยการนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 09 4954 1014 หรือ 0 2441 0602 ถึง 8 ต่อ 1213

ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายละเอียด / ขั้นตอนการรับบริการ ได้ที่ : https://cf.mahidol.ac.th

“หน่วยบริการสุขภาพนักศึกษา คณะวิทยาศาสตร์”

ตั้งอยู่ที่ : คณะวิทยาศาสตร์ (พญาไท)

จิตแพทย์จะออกตรวจทุกวันพุธ เวลา 12.00-13.00 น.

สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ 02-201 5203 ในวัน-เวลาราชการ

“โรงพยาบาลในสังกัด มหาวิทยาลัยมหิดล”

สามารถติดต่อขอรับบริการได้ที่

โรงพยาบาลศิริราช             ติดต่อ : หน่วยสวัสดิการนักศึกษา ห้อง 499 อาคารผู้ป่วยนอก ชั้น 4

โรงพยาบาลรามาธิบดี          ติดต่อ : แผนกจิตเวช  อาคาร 4 ชั้น 2

OOCA-Wall of Sharing”  เพราะ “ทุก(ข์) ปัญหาใจ…มีทางออก”

อีกหนึ่งความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล และ OOCA

“OOCA” เป็น platform ปรึกษาจิตแพทย์ออนไลน์ ที่ช่วยให้น้อง ๆ  สามารถพูดคุยปัญหากับจิตแพทย์และนักจิตวิทยา ผ่านทาง Video call โดยเข้าใช้งานได้อย่างเป็นส่วนตัวและปลอดภัย ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ

อีกช่องทางความร่วมมือผ่าน โครงการ “Wall of Sharing-กำแพงพักใจ”  โครงการที่จะทำให้น้อง ๆ มีสุขภาวะทางใจที่ดีขึ้น

ช่องทางการรับการปรึกษาหน่วยงานภายนอก

“ที่ปรึกษาทางใจ” Mental health counseling สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล

….ในช่วงเวลาที่น้อง ๆ รู้สึกเครียด ผิดหวัง ท้อใจ หรือมีภาวะใดที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ…
ช่องทางเหล่านี้ จะเป็นทางเลือกสำหรับน้อง ๆ ในการหาทางออก ระบายความอึดอัดคับข้องใจที่น้อง ๆ พบเจอในชีวิตประจำวัน

ปัญหาทางด้านสุขภาพใจ เป็นปัญหาที่จัดการได้ ดูแลได้ เมื่อเราเข้าใจ ยอมรับ…เราจะพบทางออกไปด้วยกัน

หน่วยงานภายนอก

“1323-สายด่วนสุขภาพจิต”

บริการจากกรมสุขภาพจิต ที่เปิดให้ประชาชนทุกคนสามารถรับคำปรึกษาผ่านทาง

เบอร์โทรศัพท์ “1323”  หรือ ติดต่อผ่านทาง FB : @helpline1323

“สะมาริตันส์” – One Call, One Life

สมาคมที่ให้บริการเป็นเพื่อนพูดคุยทางโทรศัพท์

โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย โดยมีอาสาสมัครจากหลากหลายอาชีพผลัดเปลี่ยนกันมาทำหน้าที่

โดยไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ
โทร. 02-113-6789 ตั้งแต่เวลา 12.00 – 22.00 น.
(มีให้บริการทั้งสำหรับชาวไทยและชาวต่างชาติ)

Samaritans is a registered charity aimed at providing emotional support to anyone in emotional distress, struggling to cope, or at risk of suicide, often through its telephone helpline.
Samaritans Bangkok English Line:
Tel. 02-113-6789 Press 2

Counseling Service for Mahidol International Students

For International Students seeking counseling services please read the details below:

Mahidol Friends (MU Friends) Counseling Services with an English-Speaking Psychologist

**Operating Hours**: Monday – Friday 09:00 a.m. – 04:30 p.m. (except public holidays)

For the Salaya area

Please send a message to the inbox of the Facebook page “MahidolFriends” and inform the staff that you would like to schedule a counseling appointment for international students. The staff will assist you with the appointment registration process.

For the Phayathai area

On-site counseling sessions are available at different faculties as follows:

– Monday – Faculty of Science

– Tuesday & Wednesday – Faculty of Public Health

– Thursday & Friday – Faculty of Pharmacy

*Students from all faculties are welcome to book a counseling session at any available location.*

To register for an English counseling session at Phayathai area, please fill out this form: https://bit.ly/MUF-Phayathai

—————————————————————————

Mental health counseling service for Graduate students

Graduate students can access Mental Health Counseling Services from the Faculty of Graduate Studies by registering at the following link >>> Click<<<

For graduate students urgent cases please call 081-269-6526

แบบคัดกรอง

*การประเมินนี้เป็นการประเมินระดับภาวะซึมเศร้าในขั้นต้น

ส่วนการวินิจฉัยนั้นจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อซักประวัติ ตรวจร่างกาย รวมถึงส่งตรวจเพิ่มเติมที่จำเป็น เพื่อยืนยันการวินิจฉัยที่แน่นอน รวมถึงเพื่อแยกโรคหรือภาวะอื่น ๆ เนื่องจากภาวะซึมเศร้าเป็นจากสาเหตุต่างๆ ได้มากมาย เช่น โรคทางจิตเวชอื่นที่มีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย โรคทางร่างกายเช่นโรคไทรอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือเป็นจากยาหรือสารต่างๆ

ผลการประเมินและคำแนะนำที่ได้รับจากโปรแกรมนี้จึงไม่สามารถใช้แทนการตัดสินใจของแพทย์ได้ การตรวจรักษาเพิ่มเติมหรือการให้ยารักษาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และการปรึกษากันระหว่างแพทย์และตัวท่าน*

* คำถามต่อไปนี้จะถามถึงประสบการณ์ในช่วง ระยะ 2-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ให้ท่านสำรวจตัวเองและประเมินเหตุการณ์ อาการหรือความคิดเห็นและความรู้สึกของท่านว่าอยู่ในระดับใด

กรณีที่มีความเครียดอยู่ในระดับสูง นักศึกษาสามารถติดต่อนัดหมายเพื่อพูดคุยกับนักจิตวิทยา หรือผู้ให้การปรึกษา ได้ที่ศูนย์ให้คำปรึกษา ม.มหิดล (MU Friends) ศูนย์การเรียนรู้มหิดล ชั้น 3

โรคซึมเศร้า

ประกอบด้วยอาการต่าง ๆ ดังนี้
1. อารมณ์ซึมเศร้า หงุดหงิด ไม่สดชื่น มีอาการเกือบตลอดวัน
2. ขาดความสนใจสิ่งรอบข้าง สิ่งที่เคยชอบ ก็ไม่สนใจ เบื่อหน่ายไปหมด
3. เบื่ออาหาร น้ำหนักลด กินน้อยลง หรือ บางคนอาจเป็นแบบตรงข้ามคือ กินจุมากขึ้น น้ำหนักเปลี่ยนแปลง ร้อยละ 5 ใน 1 เดือน
4. นอนไม่หลับ นอนได้น้อยลง หรือ บางคนตรงข้ามกลายเป็น นอนมากขึ้น นอนทั้งวัน
5. เชื่องช้า ทำอะไรก็เชื่องช้าไปหมด หรือ บางคนอาจเป็นตรงข้ามกระวนกระวายกว่าปกติ
6. รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรง
7. ตำหนิตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า หรือ รู้สึกผิดง่ายกว่าปกติ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่พบได้มากในคนเป็นโรคซึมเศร้า
8. สมาธิเสีย ทำอะไร ไม่ค่อยมีสมาธิ รู้สึกลังเล สงสัยมากขึ้นกว่าปกติ
9. คิดเรื่องการฆ่าตัวตาย หรือ อยากฆ่าตัวตาย
***ข้อนี้สำคัญมาก หากมีการพยายามฆ่าตัวตาย  ตั้งข้อสันนิษฐานว่า คนนั้นอาจเป็นโรคซึมเศร้า ***

อาการที่กล่าวมาไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการถึงบ่งบอกว่าเป็นโรคซึมเศร้า  โดยมีอย่างน้อยอาการ 5 อาการใน 9 อาการที่กล่าวมา ต้องเป็นต่อเนื่องทุกวันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไปถึงจะสงสัยว่าจะเกิดโรคซึมเศร้า
การรักษาโรคซึมเศร้า


1. การทานยาต้านเศร้า

เนื่องจากโรคนี้ เกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมองด้านอารมณ์เศร้าที่เสียสมดุลไป (สารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องหลักๆ คือ สารเซโรโทนิน และ นอร์อีพิเนฟฟรีน) จึงทำให้เกิดความซึมเศร้ามากผิดปกติ
ทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้อยากเศร้าขนาดนี้ แต่อารมณ์เศร้าปริมาณมากเกิดขึ้นเอง เป็นไปเอง ห้ามไม่ได้ เพราะ เกิดขึ้นเนื่องจาก สารเคมีในสมองเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์เศร้า เสียสมดุล การทานยาต้านเศร้า จะช่วยให้สารเคมีเหล่านี้ กลับมาสมดุล เพราะยาจะเข้าไปช่วยปรับให้สารเคมีในสมองที่เสียสมดุลไปจนเกิดอารมณ์เศร้ามากผิดปกติ เข้าสู่ภาวะปกติ

2. การรักษาทางจิตใจ

เช่นการทำจิตบำบัด ปรับวิธีคิด หรือ แก้ปมในจิตใจ ซึ่งเป็นวิธีรักษาควบคู่กับการทานยาต้านเศร้า เพราะถ้าอาศัยด้วยการรักษาทางจิตใจอย่างเดียว อาจช่วยได้ไม่เต็มที การทานยาคือการรักษาทางกาย ส่วนจิตบำบัดคือการรักษาทางใจ

3. การอยู่โรงพยาบาล

โดยเฉพาะในกรณีที่มีความเสี่ยงเรื่องการฆ่าตัวตายสูง จำเป็นต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงภาวะวิกฤติ และความรู้สึกอยากตาย ภาวะวิกฤติแบบนี้การอยู่โรงพยาบาลจะปลอดภัยกว่า

4. การดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยซึมเศร้า

  • ไม่ควรตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆในชีวิต เพราะ โอกาสตัดสินผิดพลาดสูงมาก เพราะ อารมณ์ไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ
  • พยายามไม่คิดอะไรมากๆยาวๆ เพราะ ยิ่งคิดจะวนกลับไปเป็นด้านลบ ด้วยตัวโรค
  • หากิจกรรมสบายๆทำ ที่ไม่เครียดไม่กดดัน
  • อย่ากดดัน เร่งรัดตัวเองว่าต้องรีบหาย รักษาตัวเองอย่างถูกวิธีอาการดีขึ้นเอง

ที่มา : สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย

สัญญาณการฆ่าตัวตาย

สัญญาณเตือน

ผู้ที่มีลักษณะเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดการฆ่าตัวตายแน่นอน แต่เป็นสิ่งบอกว่าเขาเหล่านี้มีความทุกข์ทรมานใจที่ต้องการความใส่ใจอย่างจริงจัง

  • มีอาการซึมเศร้า นิ่งเฉย ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว
  • แยกตัวจากเพื่อนฝูง พี่น้องครอบครัว
  • พูด เขียน เกี่ยวกับเรื่องความตาย
  • พูดถึงความท้อแท้สิ้นหวัง
  • พูดว่าทุกข์ทรมานมาก หรือตนเองเป็นปัญหา ภาระแก่คนอื่น
  • พูดเป็นนัย เช่น ทนไม่ไหวอีกแล้ว เดี๋ยวปัญหาก็จบแล้ว
  • เคยพยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว
  • มีการสั่งเสีย พูดลา หรือมอบสิ่งของให้ผู้อื่น

การช่วยเหลือเบื้องต้น

จุดมุ่งหมายหลักของการพูดคุยคือเพื่อให้เขารับรู้ว่ามีคนใส่ใจรับรู้ปัญหาความทุกข์องเขา ส่วนการมุ่งหาทางแก้ปัญหาให้เขาถือเป็นเรื่องรอง ท่าทีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ฟังด้วยความใส่ใจ เปิดโอกาสให้เขาพูด พยายามที่จะเข้าใจความทุกข์ใจ และปัญหาในมุมมองของเขา

  1. ไม่รีบให้คำแนะนา หรือบอกว่าอย่าคิดอย่างนี้ หรือหาเหตุผลมาแย้งว่าเขาคิดผิด ซึ่งจะยิ่งทาให้เขายิ่งไม่อยากเล่า
  2. ถามความคิดเรื่องการฆ่าตัวตาย อย่ากลัวที่จะถาม การถามไม่ได้กระตุ้นให้เขาคิดถึงเรื่องการฆ่าตัวตาย แต่จะเป็นการเปิดโอกาสให้เขาได้ระบายความรู้สึก อาจเริ่มด้วย “เคยมีความคิดไม่อยากอยู่หรืออยากไปให้พ้น ๆ ไหม” เขาคิดบ่อยไหม คิดจะทำอย่างไร
  3. ให้เขารับรู้ว่าเราพร้อมที่จะช่วยเขาตลอดในช่วงนี้
  4. ถ้าไม่ได้อยู่กับเขา บอกเขาว่าเราจะหมั่นโทรศัพท์มาเช็ค ถ้าเขารู้สึกไม่สบายใจให้รีบโทรศัพท์มาหาเราได้ทันที
  5. หากดูเขาซึมเศร้า หรือพูดคุยแล้วยังไม่ดีขึ้น ชักชวนแนะนำให้เขาพบแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อรับการช่วยเหลือ
  6. หากดูเขามีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง เช่น ซึมเศร้าหมดหวัง ปัญหารุนแรง ให้
    • โทรศัพท์ปรึกษาสายด่วน MU Hotline 088-8747385
    • สายด่วนสุขภาพจิต 1323
    • นัดหมายปรึกษาพูดคุยที่ MU Friends

หรือ

การดูแลช่วยเหลือหลังจากมีการพยายามฆ่าตัวตาย

  1. หากเขาเพิ่งทำ ควรมีคนอยู่กับเขาใกล้ชิดตลอดเวลา อย่าด่วนคลายใจเมื่อเขาบอกว่าดีแล้วไม่คิดทำอีกแล้ว พบบ่อยว่าความเสี่ยงต่อการทำซ้ำ จะสูงในช่วง 2-3 วันแรกหลังทำ
  2. เก็บของมีคม หรือสิ่งของที่เห็นว่าเขาอาจใช้ทำร้ายตัวเองได้
  3. แม้การอยู่ใกล้ชิดจะไม่สามารถป้องกันการทำซ้ำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หากเกิดเหตุการณ์ขึ้น เรายังสามารถช่วยเหลือเขาได้ทันท่วงที
  4. ในผู้ที่ได้พบแพทย์หรือรับการช่วยเหลือแล้ว คอยดูแลให้เขาไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามการรักษา

ที่มา :ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย

ข้อมูลสุขภาวะทางใจ / แบบคัดกรอง

แบบคัดกรอง

*การประเมินนี้เป็นการประเมินระดับภาวะซึมเศร้าในขั้นต้น

ส่วนการวินิจฉัยนั้นจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อซักประวัติ ตรวจร่างกาย รวมถึงส่งตรวจเพิ่มเติมที่จำเป็น เพื่อยืนยันการวินิจฉัยที่แน่นอน รวมถึงเพื่อแยกโรคหรือภาวะอื่น ๆ เนื่องจากภาวะซึมเศร้าเป็นจากสาเหตุต่างๆ ได้มากมาย เช่น โรคทางจิตเวชอื่นที่มีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย โรคทางร่างกายเช่นโรคไทรอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือเป็นจากยาหรือสารต่างๆ

ผลการประเมินและคำแนะนำที่ได้รับจากโปรแกรมนี้จึงไม่สามารถใช้แทนการตัดสินใจของแพทย์ได้ การตรวจรักษาเพิ่มเติมหรือการให้ยารักษาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และการปรึกษากันระหว่างแพทย์และตัวท่าน*

* คำถามต่อไปนี้จะถามถึงประสบการณ์ในช่วง ระยะ 2-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ให้ท่านสำรวจตัวเองและประเมินเหตุการณ์ อาการหรือความคิดเห็นและความรู้สึกของท่านว่าอยู่ในระดับใด

กรณีที่มีความเครียดอยู่ในระดับสูง นักศึกษาสามารถติดต่อนัดหมายเพื่อพูดคุยกับนักจิตวิทยา หรือผู้ให้การปรึกษา ได้ที่ศูนย์ให้คำปรึกษา ม.มหิดล (MU Friends) ศูนย์การเรียนรู้มหิดล ชั้น 3

โรคซึมเศร้า

ประกอบด้วยอาการต่าง ๆ ดังนี้
1. อารมณ์ซึมเศร้า หงุดหงิด ไม่สดชื่น มีอาการเกือบตลอดวัน
2. ขาดความสนใจสิ่งรอบข้าง สิ่งที่เคยชอบ ก็ไม่สนใจ เบื่อหน่ายไปหมด
3. เบื่ออาหาร น้ำหนักลด กินน้อยลง หรือ บางคนอาจเป็นแบบตรงข้ามคือ กินจุมากขึ้น น้ำหนักเปลี่ยนแปลง ร้อยละ 5 ใน 1 เดือน
4. นอนไม่หลับ นอนได้น้อยลง หรือ บางคนตรงข้ามกลายเป็น นอนมากขึ้น นอนทั้งวัน
5. เชื่องช้า ทำอะไรก็เชื่องช้าไปหมด หรือ บางคนอาจเป็นตรงข้ามกระวนกระวายกว่าปกติ
6. รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรง
7. ตำหนิตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า หรือ รู้สึกผิดง่ายกว่าปกติ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่พบได้มากในคนเป็นโรคซึมเศร้า
8. สมาธิเสีย ทำอะไร ไม่ค่อยมีสมาธิ รู้สึกลังเล สงสัยมากขึ้นกว่าปกติ
9. คิดเรื่องการฆ่าตัวตาย หรือ อยากฆ่าตัวตาย
***ข้อนี้สำคัญมาก หากมีการพยายามฆ่าตัวตาย  ตั้งข้อสันนิษฐานว่า คนนั้นอาจเป็นโรคซึมเศร้า ***

อาการที่กล่าวมาไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการถึงบ่งบอกว่าเป็นโรคซึมเศร้า  โดยมีอย่างน้อยอาการ 5 อาการใน 9 อาการที่กล่าวมา ต้องเป็นต่อเนื่องทุกวันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไปถึงจะสงสัยว่าจะเกิดโรคซึมเศร้า
การรักษาโรคซึมเศร้า


1. การทานยาต้านเศร้า

เนื่องจากโรคนี้ เกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมองด้านอารมณ์เศร้าที่เสียสมดุลไป (สารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องหลักๆ คือ สารเซโรโทนิน และ นอร์อีพิเนฟฟรีน) จึงทำให้เกิดความซึมเศร้ามากผิดปกติ
ทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้อยากเศร้าขนาดนี้ แต่อารมณ์เศร้าปริมาณมากเกิดขึ้นเอง เป็นไปเอง ห้ามไม่ได้ เพราะ เกิดขึ้นเนื่องจาก สารเคมีในสมองเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์เศร้า เสียสมดุล การทานยาต้านเศร้า จะช่วยให้สารเคมีเหล่านี้ กลับมาสมดุล เพราะยาจะเข้าไปช่วยปรับให้สารเคมีในสมองที่เสียสมดุลไปจนเกิดอารมณ์เศร้ามากผิดปกติ เข้าสู่ภาวะปกติ

2. การรักษาทางจิตใจ

เช่นการทำจิตบำบัด ปรับวิธีคิด หรือ แก้ปมในจิตใจ ซึ่งเป็นวิธีรักษาควบคู่กับการทานยาต้านเศร้า เพราะถ้าอาศัยด้วยการรักษาทางจิตใจอย่างเดียว อาจช่วยได้ไม่เต็มที การทานยาคือการรักษาทางกาย ส่วนจิตบำบัดคือการรักษาทางใจ

3. การอยู่โรงพยาบาล

โดยเฉพาะในกรณีที่มีความเสี่ยงเรื่องการฆ่าตัวตายสูง จำเป็นต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงภาวะวิกฤติ และความรู้สึกอยากตาย ภาวะวิกฤติแบบนี้การอยู่โรงพยาบาลจะปลอดภัยกว่า

4. การดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยซึมเศร้า

  • ไม่ควรตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆในชีวิต เพราะ โอกาสตัดสินผิดพลาดสูงมาก เพราะ อารมณ์ไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ
  • พยายามไม่คิดอะไรมากๆยาวๆ เพราะ ยิ่งคิดจะวนกลับไปเป็นด้านลบ ด้วยตัวโรค
  • หากิจกรรมสบายๆทำ ที่ไม่เครียดไม่กดดัน
  • อย่ากดดัน เร่งรัดตัวเองว่าต้องรีบหาย รักษาตัวเองอย่างถูกวิธีอาการดีขึ้นเอง

ที่มา : สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย

 สัญญาณการฆ่าตัวตาย

สัญญาณเตือน

ผู้ที่มีลักษณะเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดการฆ่าตัวตายแน่นอน แต่เป็นสิ่งบอกว่าเขาเหล่านี้มีความทุกข์ทรมานใจที่ต้องการความใส่ใจอย่างจริงจัง

  • มีอาการซึมเศร้า นิ่งเฉย ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว
  • แยกตัวจากเพื่อนฝูง พี่น้องครอบครัว
  • พูด เขียน เกี่ยวกับเรื่องความตาย
  • พูดถึงความท้อแท้สิ้นหวัง
  • พูดว่าทุกข์ทรมานมาก หรือตนเองเป็นปัญหา ภาระแก่คนอื่น
  • พูดเป็นนัย เช่น ทนไม่ไหวอีกแล้ว เดี๋ยวปัญหาก็จบแล้ว
  • เคยพยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว
  • มีการสั่งเสีย พูดลา หรือมอบสิ่งของให้ผู้อื่น

การช่วยเหลือเบื้องต้น

จุดมุ่งหมายหลักของการพูดคุยคือเพื่อให้เขารับรู้ว่ามีคนใส่ใจรับรู้ปัญหาความทุกข์องเขา ส่วนการมุ่งหาทางแก้ปัญหาให้เขาถือเป็นเรื่องรอง ท่าทีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ฟังด้วยความใส่ใจ เปิดโอกาสให้เขาพูด พยายามที่จะเข้าใจความทุกข์ใจ และปัญหาในมุมมองของเขา

  1. ไม่รีบให้คำแนะนา หรือบอกว่าอย่าคิดอย่างนี้ หรือหาเหตุผลมาแย้งว่าเขาคิดผิด ซึ่งจะยิ่งทาให้เขายิ่งไม่อยากเล่า
  2. ถามความคิดเรื่องการฆ่าตัวตาย อย่ากลัวที่จะถาม การถามไม่ได้กระตุ้นให้เขาคิดถึงเรื่องการฆ่าตัวตาย แต่จะเป็นการเปิดโอกาสให้เขาได้ระบายความรู้สึก อาจเริ่มด้วย “เคยมีความคิดไม่อยากอยู่หรืออยากไปให้พ้น ๆ ไหม” เขาคิดบ่อยไหม คิดจะทำอย่างไร
  3. ให้เขารับรู้ว่าเราพร้อมที่จะช่วยเขาตลอดในช่วงนี้
  4. ถ้าไม่ได้อยู่กับเขา บอกเขาว่าเราจะหมั่นโทรศัพท์มาเช็ค ถ้าเขารู้สึกไม่สบายใจให้รีบโทรศัพท์มาหาเราได้ทันที
  5. หากดูเขาซึมเศร้า หรือพูดคุยแล้วยังไม่ดีขึ้น ชักชวนแนะนำให้เขาพบแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อรับการช่วยเหลือ
  6. หากดูเขามีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง เช่น ซึมเศร้าหมดหวัง ปัญหารุนแรง ให้
    • โทรศัพท์ปรึกษาสายด่วน MU Hotline 088-8747385
    • สายด่วนสุขภาพจิต 1323
    • นัดหมายปรึกษาพูดคุยที่ MU Friends

หรือ

การดูแลช่วยเหลือหลังจากมีการพยายามฆ่าตัวตาย

  1. หากเขาเพิ่งทำ ควรมีคนอยู่กับเขาใกล้ชิดตลอดเวลา อย่าด่วนคลายใจเมื่อเขาบอกว่าดีแล้วไม่คิดทำอีกแล้ว พบบ่อยว่าความเสี่ยงต่อการทำซ้ำ จะสูงในช่วง 2-3 วันแรกหลังทำ
  2. เก็บของมีคม หรือสิ่งของที่เห็นว่าเขาอาจใช้ทำร้ายตัวเองได้
  3. แม้การอยู่ใกล้ชิดจะไม่สามารถป้องกันการทำซ้ำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หากเกิดเหตุการณ์ขึ้น เรายังสามารถช่วยเหลือเขาได้ทันท่วงที
  4. ในผู้ที่ได้พบแพทย์หรือรับการช่วยเหลือแล้ว คอยดูแลให้เขาไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามการรักษา

ที่มา :ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย

ความวิตกกังวล (Anxiety)

ความกังวลเป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่เราต้องเจอในชีวิต ความกังวลมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง แต่เราจะอยู่กับมันอย่างไรแบบเป็นเพื่อนคู่กายที่ไม่แวะเวียนมาบ่อยจนเกินไป มาเยี่ยมเราเฉพาะเวลาที่ควรจะมา

สัญญาณเตือนความกังวล 

  • หัวใจเต้นเร็ว
  • หายใจถี่
  • ความดันโลหิตสูง
  • นอนไม่หลับ
  • เบื่ออาหาร
  • สมาธิความจำไม่ดี
  • ลุกลี้ลุกลน
  • ปวดหัว ปวดท้อง ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ

ทั้งนี้ในแต่ละคนอาจพบสัญญาณเตือนความกังวลที่แตกต่างกันออกไปได้ เราจึงต้องคอยหมั่นสังเกตเพื่อทำความรู้จักตัวเราได้ดียิ่งขึ้น

การจัดการความกังวลเบื้องต้น

1. รู้จักตัวเอง

ฝึกฝนที่จะสังเกตและเรียนรู้ทำความรู้จักกับตัวเอง ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า “เราเป็นคนอย่างไร” “เรามีบุคลิกลักษณะแบบไหน” “ธรรมชาติพื้นฐานอารมณ์ของใจที่เรามักเจอเป็นแบบไหน” เช่น เราเป็นคนขี้กังวล เราเป็นคนชิวชิวไม่ค่อยใส่ใจอะไรนัก ฯลฯ

2. ฝึกฝนการรู้เท่าทัน

“สถานการณ์” รู้ว่าอะไรที่มักทำให้เราเกิดความรู้สึกกังวล เช่น เรามักจะกังวลเมื่อต้องนำเสนองาน การสอบ การเจอเพื่อนใหม่

“ฉันคิดอะไรอยู่ตอนเกิดเหตุการณ์นั้น” สำรวจความคิดอัตโนมัติที่มักเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในเหตุการณ์ความกังวล โดยหลายครั้งมักพบว่าความคิดเหล่านี้มักเกิดขึ้นแบบ Pattern ซ้ำ ๆ  เช่น “ฉันทำไม่ได้หรอก” “ฉันจะพูดยังไงดี” “เดี๋ยวต้องเกิดเรื่องร้ายขึ้นแน่ ๆเลย” “คนอื่นต้องมองฉันไม่ดีแน่เลย”

“ร่างกายฉันมีปฏิกิริยาอย่างไร” สังเกตว่าเมื่อเกิดความกังวล เกิดอะไรขึ้นบ้างกับร่างกายของเรา เช่น เหงื่อกแตก ใจเต้นเร็ว รู้สึกหวิวๆเหมือนจะเป็นลม ปวดหัว ปวดท้อง มือสั่น ฯลฯ

“ฉันทำอะไรลงไปบ้าง” สำรวจวิธีการที่เรามักใช้เมื่อเผชิญกับความวิตกกังวล เช่น ใช้การหลีกหนีสิ่งที่กำลังเผชิญ พยายามคิดหาทางออก เมื่อเรารู้ทันทันวิธีที่เรามักใช้แล้ว เราสามารคิดทบทวนกับตัวเองได้ว่า หากเกิดความกังวลขึ้นอีก เราอยากที่วางแผนการรับมือกับความกังวลนั้นอย่างไรดีเพื่อแก้ปัญหา

3. Relaxation technique

ในสถานการณ์ที่เกิดความกังวลท่วมท้นขึ้นมา หลายคนอาจพบว่าไม่พร้อมที่จะคิดพิจารณาวางแผนจัดการแก้ไขปัญหาได้ เนื่องจากสมองส่วนความคิดจะทำงานได้น้อยลงในช่วงที่เรามีสมองส่วนอารมณ์ทำงานอย่างมากอยู่ การใช้เทคนิคสร้างความผ่อนคลายจึงเป็นประโยชน์ในช่วงเวลานี้

  • Grounding Technique แบบ 54321
  • ฝึกการหายใจผ่อนคลายความเครียด โดยการหามุมสงบนั่งในท่าที่สบาย หายใจช้า ๆตามจังหวะดังนี้ หายใจเข้า (4 วินาที) – กลั้นลมหายใจ (4 วินาที) – หายใจออก (8วินาที) โดยทำต่อเนื่องติดต่อกันระยะหนึ่งจนกว่าจะรู้สึกสงบลง
  • การผ่อนคลายด้วยลมหายใจแบบยาว ทำได้โดยการดึงความสนใจกลับมาอยู่ที่ลมหายใจของเรา หายใจเข้าทางจมูกลึกๆจนเต็มปอด แล้วเป่าลมหายใจออกทางปากช้า ๆยาว ๆจนหมดปอด ทำซ้ำต่อเนื่องอย่างน้อย 8 ลมหายใจหรือจนกว่าจะรู้สึกสงบลง

4. ทำกิจกรรมอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

ในช่วงเวลาที่รู้สึกกังวลมาก จนรู้สึกว่าเรายังไม่รู้สึกพร้อมที่จะเผชิญกับเรื่องดังกล่าว อาจต้องใช้การทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความกังวลนั้นไปก่อน แต่สิ่งสำคัญในการใช้วิธีการนี้คือ อย่ามัวแต่กิจกรรมอื่น ๆ จนกระทั่งไม่ได้จัดการความกังวลของเรา จึงต้องใช้อย่างระมัดระวังและใช้แต่พอดี

5. คำพูดรับมือและการเป็นเพื่อนกับตัวเอง

หากเราได้ฝึกที่จะรู้เท่าทันด้านความคิดด้านลบที่มักเกิดขึ้นอัตโนมัติเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่วิตกกังวล รู้จักธรรมชาติของใจเรามากยิ่งขึ้น เราสามารถฝึกฝนการมีคำพูดดีดีที่จะใช้ “ปลอบโยนตนเอง” เพื่อรับมือกับความคิดด้านลบอัตโนมัติเหล่านั้นได้ หากใครที่ไม่คุ้นชินและคิดไม่ออกว่าควรพูดกับตัวเองอย่างไร ให้ลองนึกถึงคำพูดดีดีที่เรามักพูดกับเพื่อนสนิทของเราในวันที่เขาเจอความกังวล เราจะใช้คำพูดอะไรเพื่อปลอบโยนเพื่อนของเรา เราอยากบอกหรือแนะนำเขาว่าอะไร ก็ให้ลองใช้คำพูดเหล่านั้นกับตัวเองเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น “ฉันว่าแกทำได้” “ลองดูก่อน” “ทุกครั้งที่แกกังวลแกก็ผ่านมันมาได้เสมอ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน” ในช่วงแรกเป็นเรื่องปกติที่เรามักจะรู้สึกว่าไม่เชื่อคำเหล่านั้น รู้สึกแปลกไม่เคยชิน เพราะเรามักไม่คุ้นเคยที่มักจะพูดคำดีดีกับตัวเอง แต่เมื่อเราทำบ่อยขึ้น เราจะคุ้นเคยมากยิ่งขึ้น

6. การเผชิญหน้ากับความกลัว

เมื่อเราลองทำวิธีการต่าง ๆข้างต้นมาแล้วเพื่อพยายามจัดการกับความกลัว เราจะมีความพร้อมมากขึ้นที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว สิ่งสำคัญที่สุดคือการฝึกฝนการรู้จักตัวเองและการรู้เท่าทันในตนเอง ใช้เทคนิคผ่อนคลายในยามฉุกเฉิน อย่างไรก็ตามในคนที่มีความวิตกกังวลสูงมาก หากลองทำวิธีการทั้งหมดแล้วก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะพบปัญหากับการต้องเผชิญความกลัว เพราะการต้องเผชิญหน้ากับความกลัวเป้นสิ่งที่ต้องผ่านการฝึกฝนซ้ำ ๆจนกว่าจะทำได้ แนะนำว่าหากต้องการคำแนะนำหรือช่วยเหลือสามารถพบผู้เชี่ยวชาญ สำหรับนักศึกษามหิดลสามารถทำการนัดหมายเพื่อพูดคุยกับศูนย์ให้คำปรึกษา MU Friends ได้

สรุปความรู้จากกิจกรรมเสวนาเรื่อง “การรับมือกับความวิตกกังวล”

วิทยากร ผศ. นพ. สมบูรณ์  หทัยอยู่สุข  จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2566

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อจำแนกผู้ใช้งานแต่ละคน โดยทำหน้าที่หลักคือประมวลทางสถิติ ตลอดจนลักษณะเฉพาะของกลุ่มผู้ใช้บริการนั้นๆ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะนำมาใช้ในการวิเคราะห์รูปแบบพฤติกรรมของผู้ใช้บริการ และมหาวิทยาลัยจะนำผลลัพธ์ดังกล่าวไปใช้ในการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตอบสนองความต้องการ และการใช้งานของผู้ใช้บริการให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามข้อมูลที่ได้และใช้ประมวลผลนั้นจะไม่มีการระบุชื่อ หรือบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้ใช้บริการแต่อย่างใด อีกทั้งไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ, นามสกุล, อีเมล เป็นต้น และใช้เป็นเพียงข้อมูลทางสถิติเท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้มหาวิทยาลัยสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์สำหรับคุณ และช่วยให้สามารถปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้คุณสามารถเลือกตัวเลือกในการใช้งานคุกกี้ได้

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้ที่จำเป็น คือคุกกี้ที่จำเป็นต้องมีเพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างถูกต้อง คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้มั่นใจถึงฟังก์ชันพื้นฐานและคุณลักษณะด้านความปลอดภัยของเว็บไซต์

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์/เพื่อประสิทธิภาพ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้เราจดจำและนับจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์และทราบว่าผู้เข้าชมไปยังหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์อย่างไร สิ่งนี้จะช่วยให้เราปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้นได้ในอนาคต ตัวอย่างเช่น ทำให้ผู้ใช้งานพบสิ่งที่ต้องการเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

Save