มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี “หนังสือพิมพ์เดลินิวส์”
28/03/2024
งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป ต้อนรับคณะดูงานจากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
04/04/2024
มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี “หนังสือพิมพ์เดลินิวส์”
28/03/2024
งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป ต้อนรับคณะดูงานจากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
04/04/2024

ต้อหิน…ภัยเงียบที่น่ากลัว

เผยแพร่: 

แพทย์หญิงวริศร์ภรณ์ วรเกรียงไกร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ศูนย์การแพทย์กาญจนภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล

“ต้อหิน” เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญของดวงตาที่อาจส่งผลร้ายแรงทำให้ตาบอดได้ และสิ่งที่น่ากลัวไปกว่านั้น ก็คือ “ต้อหิน”ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และหากเป็นแล้วแม้ได้รับการรักษาก็ไม่สามารถกลับมามองเห็นได้ดีดังเดิม ดังนั้น จึงควรหมั่นตรวจเช็คสุขภาพตากับจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที แล้วปลายทางของโรค“ต้อหิน”ก็ไม่จำเป็นจะต้องจบที่ “ตาบอด” เสมอไป ทั้งนี้ มีคนไทยมากกว่า 2 ล้านคนเป็น “ต้อหิน” และกว่า 76 ล้านคน ทั่วโลกในปี 2020

แพทย์หญิงวริศร์ภรณ์ วรเกรียงไกร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ศูนย์การแพทย์กาญจนภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เบื้องต้นผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการใด ๆ ทำให้ไม่ทราบว่าตนเองเป็น “ต้อหิน” การตรวจพบได้ใน ระยะนี้จึงมักจะเป็นการตรวจพบโดยบังเอิญ จากนั้นการมองเห็นจะเริ่มแคบลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีอาการตามัวซึ่งเป็นการที่พบได้ในระยะท้ายของโรค และหากไม่ได้รับการรักษาก็จะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด ยกเว้นในรายที่เป็น“ต้อหิน”มุมปิดเฉียบพลัน จะมีอาการปวดตาอย่างรุนแรง ปวดศีรษะ ตามัว ตาแดง สู้แสงไม่ได้ น้ำตาไหล ซึ่งถือเป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องพบจักษุแพทย์

ที่มา : ชมรมต้อหินแห่งประเทศไทย

สาเหตุการเกิด “ต้อหิน”เกิดจากความผิดปกติของการไหลเวียนของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา อาจจะเกิดได้จากการสร้างน้ำที่มากขึ้น หรือมีการขับออกของน้ำน้อยกว่าปกติ เมื่อมีน้ำขังมากขึ้นก็ทำให้ความดันตาสูงขึ้น จึงเกิดการทำลายเซลล์ในขั้วประสาทตา โดยทั่วไปค่าความดันตาปกติจะอยู่ที่ 5-22 มิลลิเมตรปรอท หากพบความดันตาสูงกว่า 22 มิลลิเมตรปรอท จะถือว่ามีความดันตาสูง และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดต้อหิน

*ที่มา: https://www.specialtyeyecarecentre.com/glaucoma-seattle/

สำหรับประเภท แบ่งตามลักษณะมุมตา ได้แก่ “ต้อหิน” ชนิดมุมตาปิด และ “ต้อหิน” ชนิดมุมตาเปิด แบ่งตามสาเหตุ ได้แก่ “ต้อหิน” ชนิดปฐมภูมิที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน และ “ต้อหิน” ชนิดทุติยภูมิที่มีสาเหตุจากโรคตาอื่น ๆ เช่น เคยเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตา การอักเสบในลูกตา ต้อกระจก เบาหวานขึ้นตา เป็นต้น และแบ่งตามระยะการเกิดโรค ได้แก่ ต้อหินเฉียบพลัน และต้อหินเรื้อรัง
ในส่วนการรักษา เนื่องจากต้อหินเป็นโรคที่เกิดจากขั้วประสาทตาถูกทำลายอย่างถาวร เซลล์ที่ตายแล้วจะไม่สามารถกำเนิดใหม่ได้อีก การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองเพื่อไม่ให้ขั้วประสาทตาถูกทำลายมากขึ้นและคงการมองเห็นที่มีอยู่ให้ได้นานที่สุด โดยการรักษาจะแบ่งออกเป็น
1.การรักษาด้วยยา เป็นการรักษาเบื้องต้นที่ดีที่สุด เป้าหมายคือเพื่อลดความดันตาให้อยู่ในเกณฑ์ที่ขั้วประสาทตาจะไม่ถูกทำลายมากขึ้น การรักษาวิธีนี้ผู้ป่วยจำเป็นต้องหยอดยาให้สม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน โดยอาจจะเริ่มด้วยยาเพียงชนิดเดียวหรือหลายชนิด แพทย์จะทำการติดตามผลเป็นระยะเพื่อปรับยา ดูการดำเนินโรค และดูผลข้างเคียงของยา
2.การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ การรักษาวิธีนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของ“ต้อหิน” และระยะของโรค

• Laser peripheral iridotomy (LPI) ใช้สำหรับการรักษา“ต้อหิน”มุมปิด เพื่อป้องกันการเกิดต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน

• Selective laser trabeculoplasty (SLT) ใช้สำหรับการรักษา“ต้อหิน” มุมเปิด โดยอาจใช้เป็นการรักษาแรก ๆ เพื่อลดความดันตา หรือใช้เสริมเมื่อใช้ยาหยอดแล้วได้ผลไม่ดีนัก

• Laser cyclophotocoagulation ใช้ในกรณีที่ใช้วิธีการรักษาอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล

3.การรักษาโดยการผ่าตัด ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมความดันตาโดยการหยอดยาหรือเลเซอร์ได้ โดยการผ่าตัดมีได้หลายวิธี เช่น การผ่าตัดทำทางระบายน้ำภายในลูกตา(Trabeculectomy) การผ่าตัดใส่ท่อระบายน้ำลูกตา(Glaucoma drainage device)
การนวดตา สมุนไพร และอาหารเสริมไม่ใช่การรักษาที่เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ นอกจากไม่ทำให้เกิดประโยชน์แล้ว ยังอาจจะก่อให้เกิดโทษทำให้โรคแย่ลง โดยเฉพาะในผู้ป่วย“ต้อหิน”ระยะสุดท้าย ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่ควรมาพบจักษุแพทย์เพื่อคัดกรอง“ต้อหิน” ปีละครั้ง ได้แก่
• อายุมากกว่า 40 ปี
• มีญาติสายตรง(บิดามารดา พี่น้อง)เป็นต้อหิน
• มีอายุมากกว่า 35 ปี
• มีประวัติอุบัติเหตุที่ตา
• ใช้สารสเตียรอยด์เป็นประจำ
• สายตาสั้นมาก หรือสายตายาวมาก
• เป็นเบาหวาน
ท่านสามารถนัดหมายและสอบถามเพิ่มเติมข้อมูลได้ที่ : คลินิกจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ศูนย์การแพทย์กาญจนภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล โทรศัพท์ 02-849-6600 ต่อ 3300 หรือ 3301 หรือรายละเอียดที่ : https://www.gj.mahidol.ac.th/main/clinic/ophthalmology-clinic/


เรียบเรียงบทความ โดย คุณสุทธิรัตน์ สวัสดิภาพ
นักประชาสัมพันธ์ งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป