การบริหารจัดการความเครียด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
30/06/2023
แม่จ๋า…พ่อจ๋า…อย่ายื่นจอให้หนู
21/04/2023

เตรียมความพร้อม…ก่อนลูกน้อยเข้าโรงเรียนกันเถอะ

เผยแพร่: 

ก.บ.กีรติ อ้นมั่น นักกิจกรรมบำบัด
คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล

สิ่งที่พ่อแม่ทุกบ้านจะต้องเจอเมื่อลูกน้อยอายุครบ 3 ขวบ คือการที่ลูกต้องออกจากอ้อมอกของพ่อกับแม่ไป “โรงเรียน” เพื่อเรียนรู้ทักษะวิชาการ รวมถึงการปรับตัวในการเข้าสังคม การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ซึ่งโรงเรียนเป็นสถานที่ใหม่ ที่ลูกยังไม่คุ้นชิน ลูกจะต้องเรียนรู้การแยกจากครอบครัวเป็นครั้งแรก ดังนั้น พ่อและแม่ควรจะต้องมีการเตรียมความพร้อมของทักษะในด้านต่าง ๆ ให้กับลูกก่อนเข้าโรงเรียน เพื่อที่ลูกจะได้มีทัศนคติที่ดีต่อโรงเรียน และสามารถไปโรงเรียนได้อย่างมีความสุข

ก.บ.กีรติ อ้นมั่น นักกิจกรรมบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำว่า ความพร้อมในการเข้าเรียน คือ ความพร้อมที่เด็กจะสามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ เมื่อเข้าสู่ระบบการศึกษาที่เป็นทางการในระดับที่สูงขึ้น โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็ก และสภาพแวดล้อมที่ช่วยสร้างการเรียนรู้ของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก กับครู โรงเรียน และผู้ปกครอง โดยความพร้อมของเด็กนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ตามพัฒนาการเมื่อเด็กมีอายุมากขึ้น ซึ่งเด็กแต่ละคนอาจมีความพร้อมที่ต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น สุขภาพ พัฒนาการ รูปแบบการเลี้ยงดู หรือประสบการณ์ที่เด็กได้เรียนรู้จากสิ่งต่าง ๆ รอบตัว จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปกครองควรทำความเข้าใจ และส่งเสริมทักษะที่สำคัญสำหรับเตรียมความพร้อมของเด็กก่อนเข้าเรียน โดยมีทักษะที่สำคัญ 4 ด้าน ดังนี้

ทักษะการช่วยเหลือตนเองเบื้องต้น ผู้ปกครองสามารถฝึกให้เด็กดูแลตัวเองผ่านการทำกิจวัตรประจำวันง่าย ๆ เช่น ฝึกการตักข้าวกินเอง การดื่มน้ำเอง เพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับการนั่งกินข้าวที่โต๊ะเป็นเวลา ฝึกแต่งตัวเอง ติดกระดุม ถอดและใส่กางเกง ใส่รองเท้า ฝึกการขับถ่ายและการใช้ห้องน้ำ เพราะเมื่ออยู่ที่โรงเรียนเด็กจะต้องดูแลตัวเองมากขึ้น ไม่ต้องรอคอยให้คุณครูมาคอยช่วยเหลือ เด็กจะรู้สึกว่าพึ่งตัวเองได้ และจะนำไปสู่ความรู้สึกมั่นคงและมีความสุข

ทักษะทางภาษา และทักษะทางสังคม เมื่อต้องไปโรงเรียน เด็กจะต้องเรียนรู้การสื่อสารเพื่อบอกความต้องการของตนเองได้ ต้องสามารถสื่อสารข้อความให้ครูเข้าใจ ในช่วงแรกที่เด็กไปโรงเรียน ครูอาจยังไม่รู้ว่าเด็กแต่ละคนต้องการอะไร รู้สึกอย่างไร จึงจะต้องฝึกให้เด็กรู้จักที่จะบอกความต้องการของตัวเอง พ่อและแม่จึงควรส่งเสริมทักษะแสดงออกทางภาษา เช่น การบอกชื่อของตนเอง การพูดบอกความต้องการในสถานการณ์ต่าง ๆ แทนการร้องไห้ หรือการแสดงออกทางท่าทาง เช่น หิวน้ำ อิ่ม ปวดฉี่ การตอบคำถามง่าย ๆ เมื่อเพื่อนหรือคุณครูถาม ควรส่งเสริมทักษะการเข้าใจทางภาษาร่วมด้วย เช่น สอนให้เด็กรู้จักคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการเรียน คำศัพท์ที่ใช้ในการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่โรงเรียน ฝึกการฟังคำถาม หรือคำสั่งง่าย ๆ เพื่อให้เด็กสามารถสื่อสารกับเพื่อนและครูที่โรงเรียนได้อย่างเหมาะสม ทักษะทางสังคม เด็กจะต้องเริ่มมีทักษะทางสังคม ในการที่จะต้องไปอยู่ร่วมกับผู้อื่น สิ่งที่ผู้ปกครองจะต้องเตรียมคือ ต้องสอนเด็กในเรื่องของระเบียบวินัย การเข้าแถวต่อคิว การทำกิจกรรมที่มีกติการ่วมกับเด็กคนอื่น เพื่อเพิ่มโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ การแบ่งปันสิ่งของ เนื่องจากเด็กไปโรงเรียนจะต้องเจอครู เพื่อน การฝึกให้ลูกได้อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมจะช่วยให้เด็กเข้ากับผู้อื่นได้ง่ายขึ้น

ทักษะทางร่างกาย หรือกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหว ผู้ปกครองจะต้องเตรียมความพร้อมของกล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็ก เพื่อฝึกให้เด็กสามารถใช้มือ และนิ้วมือได้อย่างคล่องแคล่ว เช่น การหยิบจับดินสอ การเขียน ลากเส้น เรียนรู้การใช้มือในการควบคุมวัตถุ ฝึกหยิบจับของในกิจวัตรประจำวันของตัวเอง เช่น ให้ลูกตักข้าวเอง เปิดซิป หยิบของจัดกระเป๋า เปิดขวดน้ำ หัดถอดกระดุม ถือแปรงสีฟันเอง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมกล้ามเนื้อมือมัดเล็กให้แข็งแรง สำหรับการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ควรฝึกให้ลูกได้ออกกำลังกายโดยใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น การวิ่ง เตะฟุตบอล ถีบจักรยาน กระโดด และการออกกำลังกายกลางแจ้ง เพื่อที่สามารถทำกิจกรรมที่โรงเรียนได้อย่างคล่องแคล่ว

ทักษะด้านอารมณ์ เป็นการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับอารมณ์ของเด็ก โดยการฝึกฝนให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การกล่าวคำทักทาย การขอบคุณ การขอโทษ เมื่อไปอยู่ที่โรงเรียนเด็กจะต้องรอคอย ซึ่งจะไม่มีตอบสนองในทันทีที่เด็กต้องการ พ่อแม่จึงควรเริ่มฝึกตั้งแต่การรอคอยระยะสั้น ๆ บอกให้รู้ว่าเมื่อรอแล้วอีกไม่นานก็จะได้ เด็กจะได้เริ่มเข้าใจว่าจะต้องมีการรอคอยและไม่เกิดอารมณ์หงุดหงิดเมื่อไม่ได้ดั่งใจ ฝึกให้เด็กได้เรียนรู้ยอมรับกฎกติกา กฎ ข้อบังคับ ข้อห้าม โดยการพาเด็กไปสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้โอกาสเด็กได้ปรับตัวกับสถานที่และกติกาของสถานที่นั้น ๆ และที่สำคัญจะต้องทำให้เด็กเข้าใจการแยกจาก การบอกเล่าต้องเป็นรูปธรรม พ่อแม่อาจจะทดลองสถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน เช่น พ่อแม่ต้องไปตลาด ก็ให้เด็กอยู่กับยาย จะต้องบอกเด็กให้รู้ว่าพ่อแม่จะไม่อยู่ด้วย แต่เดี๋ยวก็จะกลับมาใหม่ เพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นชิน คลายกังวล และไม่มีอารมณ์โกรธ หรือเสียใจ หากเกิดการแยกจากเวลาที่เด็กต้องไปโรงเรียนจริง ๆ

การเตรียมความพร้อมของทักษะในด้านต่าง ๆ ให้กับลูกก่อนเข้าโรงเรียนนั้น มีความสำคัญไม่แพ้กับการหาโรงเรียนให้ลูก ผู้ปกครองควรเตรียมความพร้อมให้ลูกตั้งแต่เนิ่น ๆ ในทักษะด้านต่าง ๆ รวมถึงพูดคุยเรื่องการไปโรงเรียน อ่านหนังสือนิทานที่มีเรื่องราวสนุกสนานเกี่ยวกับโรงเรียนให้ลูกฟังบ่อย ๆ ก็จะสามารถสร้างบรรยากาศให้ลูกของท่านอยากไปโรงเรียน และไปอย่างมีความสุขได้


เรียบเรียงบทความ โดย คุณพรทิพา วงษ์วรรณ์
นักประชาสัมพันธ์ งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป

ให้คะแนน