ปรีชาญาณนคร : การพัฒนาทักษะทางสมองชั้นสูงด้วย Play Learn Earn
27/02/2025
ปรีชาญาณนคร : การพัฒนาทักษะทางสมองชั้นสูงด้วย Play Learn Earn
27/02/2025

การเรียนรู้ทางภาษาของเด็กปฐมวัย สู่วัยเรียน สำคัญอย่างไร

เผยแพร่: 9

อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ
สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

“การเรียนรู้ภาษา” เป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการในทุกด้านของชีวิตเด็ก ไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็กสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาด้านสติปัญญา (Cognitive Development) การเข้าสังคม (Social Interaction) และการเรียนรู้ด้านวิชาการ (Academic Learning) ภาษาไม่ใช่แค่เครื่องมือสื่อสาร แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เด็กเข้าใจโลก คิดวิเคราะห์ และเชื่อมโยงประสบการณ์ของตนเองกับสิ่งรอบตัวได้ดียิ่งขึ้น

ภาษา คือ ระบบการสื่อสารที่มนุษย์ใช้ในการแสดงความคิด อารมณ์ และความต้องการ โดยใช้เสียง คำ พยางค์ หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่เป็นระบบและมีโครงสร้างเฉพาะตัว ภาษาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ภาษาพูด และภาษาเขียน ซึ่งมีหน้าที่สื่อความหมายและสร้างความเข้าใจในสังคม เด็กสามารถเรียนรู้ภาษาได้เองตามธรรมชาติ หากพวกเขาได้รับโอกาสให้ฟัง พูด และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการใช้ภาษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดขึ้นผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ เช่น
• การฟัง: เด็กฟังคำพูดซ้ำ ๆ จากพ่อแม่หรือผู้ดูแล เช่น คำว่า “แม่” หรือ “พ่อ” จนสามารถพูดคำเหล่านั้นได้
• การเลียนแบบ: เมื่อพ่อแม่พูดว่า “กินข้าว” เด็กจะเกิดเลียนแบบคำพูดและเชื่อมโยงกับการกระทำ
• การตอบสนองต่อสิ่งเร้า: เช่น เมื่อมีคนถามว่า “นกอยู่ ไหน” เด็กจะชี้ไปที่นกเพราะเข้าใจคำถาม และคำว่า “นก”
“เด็กในแต่ละช่วงวัยจะมีพัฒนาการทางภาษา และการเรียนที่แตกต่างกันไป โดยวัยแรกเกิด – 2 ปี เด็กเริ่มเรียนรู้จากการฟังเสียงและเลียนแบบคำ มีการพัฒนาทักษะการพูดคำแรก เช่น “แม่” หรือ “พ่อ” วัย 2-3 ปี เด็กจะเริ่มสร้างประโยคง่าย ๆ และเรียนรู้คำศัพท์เพิ่มมากขึ้น วัย 4-6 ปี เด็กจะเริ่มเรียนรู้โครงสร้างประโยคที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การตั้งคำถาม การเข้าใจความหมายของคำในเชิงนามธรรม และวัย 6 ปีขึ้นไป เด็กจะเรียนรู้การอ่านและเขียน รวมถึงการใช้ภาษาในบริบทเชิงวิชาการ”

อาจารย์ธาม กล่าวว่า มีทฤษฎีบ่งชี้ว่า ภาษาเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการทางสติปัญญา โดยเด็กจะใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการคิด และสร้างโครงสร้างความรู้ เช่น การตั้งคำถาม การตอบโต้กับผู้ใหญ่ และการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ดังนั้น การพัฒนาภาษาช่วยให้เด็กสามารถสื่อสารความคิด ความรู้สึก และความต้องการของตนเองได้

จากแนวคิดของนักภาษาศาสตร์หลายท่านแสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติของภาษามีความเชื่อมโยงกับการเรียนรู้ในชีวิตจริงอย่างลึกซึ้ง เด็กสามารถเรียนรู้ภาษาได้ผ่านกระบวนการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลียนแบบ การปฏิสัมพันธ์ หรือการพัฒนาความคิด ซึ่งเกิดขึ้นในบริบทของชีวิตประจำวันแทบทั้งสิ้นหากเราทำความเข้าใจทฤษฎีเหล่านี้ได้ จะมีส่วนช่วยให้พ่อแม่ ครู และผู้ปกครอง สามารถจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม และส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงปฐมวัยและวัยเรียนให้แก่เด็ก ๆ ได้

โดยในด้านของภาษาศาสตร์ กับ การเรียนรู้ทางภาษาของเด็กปฐมวัย สู่วัยเรียนจะมีความสัมพันธ์กัน ดังนี้
1.พัฒนาการด้านความคิด (Cognitive Development) เพราะ ภาษาเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กสามารถคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) และแก้ปัญหา (Problem Solving) ได้ และเด็กที่มีพัฒนาการทางภาษาที่ดีสามารถเรียนรู้คำศัพท์ และแนวคิดเชิงนามธรรม เช่น จำนวน สี และความสัมพันธ์
2.พัฒนาการด้านสังคมและอารมณ์ (Social and Emotional Development) เพราะ ภาษาเป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม เช่น การเล่นบทบาทสมมติ การพูดคุยกับเพื่อน และการแสดงความรู้สึก และเด็กที่สามารถสื่อสารได้ดีจะมีความมั่นใจในตัวเอง และมีความสามารถในการแก้ไขข้อขัดแย้งได้
3.การพัฒนาในด้านการเรียนรู้ (Academic Achievement) เพราะทักษะการอ่านและเขียนที่พัฒนาตั้งแต่วัยปฐมวัย จะส่งผลต่อความสำเร็จในวัยเรียนและการมีคำศัพท์ที่หลากหลายช่วยให้เด็กเข้าใจเนื้อหาวิชาการและพัฒนาการเขียน
4.ช่วงเวลาสำคัญ (Critical Period) เพราะการเรียนรู้ภาษามีความสำคัญสูงสุดในช่วงปฐมวัย เพราะสมองมีความยืดหยุ่นมากในช่วงนี้ ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้ภาษาได้อย่างรวดเร็ว
5.ความเชื่อมโยงระหว่างภาษาและการเรียนรู้แบบบูรณาการ เพราะภาษาเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงความรู้จากหลากหลายวิชา เช่น การเรียนรู้ธรรมชาติผ่านการพูดถึง สัตว์และพืช เป็นต้น

สมองของเด็กในช่วงปฐมวัยนั้นจะมีความยืดหยุ่นสูงสุด เนื่องจากมีการเชื่อมโยงของเส้นประสาทที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การเรียนรู้ภาษาในช่วงนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างโครงข่ายสมองที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร ความคิด และการเรียนรู้ด้านวิชาการให้แก่เด็ก การขาดโอกาสในการเรียนรู้ภาษาในช่วงปฐมวัย จะส่งผลให้สมองสูญเสียความยืดหยุ่นไปบางส่วนและการเรียนรู้ภาษาในภายหลังจะทำได้ยากมากขึ้น ช่วงปฐมวัยจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ในการพัฒนาทักษะทางภาษาเพื่อเป็นรากฐาน สำคัญสำหรับการเรียนรู้ในอนาคต ครอบครัวจึงควรสร้างบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติในการเรียนรู้ภาษา ผ่านการพูดคุย การเล่านิทาน และการอ่านหนังสือร่วมกัน โรงเรียนควรจัดให้มีโครงสร้างการเรียน การสอนที่หลากหลายและส่งเสริมการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมจะช่วยให้ เด็กพัฒนาทักษะทางภาษาได้อย่างครอบคลุมในทุกด้าน
การเรียนรู้ภาษาเป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการทุกด้านในชีวิตเด็ก ไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็กสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาด้านสติปัญญา (Cognitive Development) การเข้าสังคม (Social Interaction) และการเรียนรู้ด้านวิชาการ (Academic Learning) การใช้ภาษาอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้เด็กเข้าใจโลก คิดวิเคราะห์ และเชื่อมโยงประสบการณ์ของตนเองกับสิ่งรอบตัวได้ดีขึ้น

อาจารย์ธาม กล่าวเพิ่มเติมว่า เด็กเรียนรู้ภาษาได้เองตามธรรมชาติ หากพวกเขาได้รับโอกาสให้ฟัง พูด และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการใช้ภาษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดขึ้นผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การฟัง เด็กฟังคำพูดซ้ำ ๆ จากพ่อแม่หรือผู้ดูแล เช่น คำว่า “แม่” หรือ “พ่อ” จนสามารถพูดคำเหล่านั้นได้ การเลียนแบบ เมื่อพ่อแม่พูดว่า “กินข้าว” เด็กจะเกิดเลียนแบบคำพูดและเชื่อมโยงกับการกระทำ การตอบสนองต่อสิ่งเร้า เช่น เมื่อมีคนถามว่า “นกอยู่ไหน” เด็กจะชี้ไปที่นกเพราะเข้าใจคำถามและคำว่า “นก” ครอบครัว จึงควรสร้างบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติในการเรียนรู้ภาษา ผ่านการพูดคุย เล่านิทาน และอ่านหนังสือร่วมกัน โรงเรียน ควรจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการใช้ภาษา เช่น การเล่าเรื่อง การแสดงบทบาทสมมติ และการฝึกพูดในที่สาธารณะ

สำหรับพ่อแม่ อาจจะใช้ “10 แนวทาง กิจกรรม ที่พ่อแม่สามารถใช้กระตุ้นพัฒนาการทางภาษา” สำหรับเด็กปฐมวัยสู่วัยเรียน เพื่อให้การเรียนรู้เป็นธรรมชาติและสนุกสนาฯ
1. การเล่านิทาน (Storytelling) พ่อแม่ควรเล่านิทานให้ลูกฟังเป็นประจำ เลือกหนังสือที่มีภาพประกอบสีสันสดใส และถามคำถามง่ายๆ เช่น “ลูกคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป?” เพื่อกระตุ้นการคิดเชิงเหตุผล
2. การพูดคุยในชีวิตประจำวัน (Everyday Conversations) สร้างโอกาสให้เด็กได้พูดโต้ตอบ เช่น เวลาทำอาหาร ชวนให้เด็กช่วยนับจำนวนไข่ หรืออธิบายรสชาติอาหาร ฝึกให้เด็กใช้คำศัพท์ใหม่ๆ
3. เล่นบทบาทสมมติ (Role-Playing & Pretend Play) เช่น เล่นเป็นหมอ-คนไข้ ร้านขายของ หรือคุณครู-นักเรียน ส่งเสริมให้เด็กใช้ภาษาในบริบทที่หลากหลาย
4. ร้องเพลงและเล่นคำคล้องจอง (Singing & Rhymes) เพลงเด็ก เพลงกล่อมเด็ก และคำคล้องจอง เช่น “ช้าง ช้าง ช้าง” หรือ “Twinkle Twinkle Little Star” ช่วยพัฒนาทักษะการฟังและจดจำคำศัพท์
5. การเล่นเกมคำศัพท์ (Word Games & Riddles) เช่น เกมทายคำ (“อะไรเอ่ย มีสี่ขา ใช้กินข้าว?” → “โต๊ะ”) หรือ เกมต่อคำ (“ปลา” → “ลาบ” → “บัว”) ทำให้เด็กเรียนรู้คำศัพท์ใหม่อย่างสนุก
6. อ่านหนังสือร่วมกัน (Shared Book Reading) ให้เด็กมีส่วนร่วม เช่น ให้เด็กช่วยพลิกหน้ากระดาษ หรือชี้รูปภาพ แล้วพูดถึงสิ่งที่เห็น เป็นการกระตุ้นความสนใจและการออกเสียง
7. วาดภาพและเล่าเรื่อง (Drawing & Storytelling) ให้เด็กวาดภาพตามจินตนาการ แล้วให้พวกเขาอธิบายภาพของตนเอง จะช่วยกระตุ้นการเล่าเรื่องและเรียบเรียงความคิดเป็นประโยค
8. ใช้บัตรคำ (Flashcards & Picture Cards) ใช้บัตรภาพสัตว์ ผักผลไม้ หรือสิ่งของรอบตัว แล้วให้เด็กพูดชื่อ หรือแต่งประโยคจากภาพนั้น เช่น “นี่คือแมว แมวร้องเหมียวๆ”
9. เดินเล่นแล้วบรรยายสิ่งรอบตัว (Outdoor Language Exploration) เช่น ไปสวนสาธารณะแล้วพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เห็น “นั่นคือต้นไม้สีอะไร?” “เรามองเห็นอะไรบนท้องฟ้า?” ช่วยให้เด็กเชื่อมโยงภาษาเข้ากับสิ่งแวดล้อม
10. ส่งเสริมให้เด็กเขียนหรือขีดเขียนเล่น (Early Writing Activities) แม้เด็กเล็กจะยังเขียนไม่เป็น แต่สามารถฝึกขีดเขียน เล่นเขียนคำง่ายๆ หรือทำ “ไดอารี่ภาพ” เพื่อฝึกกล้ามเนื้อมือและพัฒนาการใช้ภาษา

กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้เด็กเรียนรู้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่กดดัน และส่งเสริมให้พวกเขามีความมั่นใจในการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน พ่อแม่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ และไม่ต้องกังวลหากเด็กเรียนรู้ช้ากว่าเพื่อน แต่ถ้าหากพบว่าเด็กมีปัญหาการพูดล่าช้าอย่างเห็นได้ชัด ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม


เรียบเรียงบทความ โดย คุณศรัณย์ จุลวงษ์
นักประชาสัมพันธ์ งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป