
บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายซ่อนเร้น เร่งปกป้องเยาวชนไทยจากภัยล่าเหยื่อ
08/07/2025
ม.มหิดลสร้างโลกด้วยการสื่อสาร เปิดป.เอก “ภาษาและการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม”
08/07/2025
สัญญาณเตือนแรกที่อาจนำไปสู่ภาวะ “สมองเสื่อม” คือ “อาการหลงลืม” แม้เพียงเล็กน้อยไม่ถึงกับรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่หากไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยให้มีอาการมากขึ้น “โรคสมองเสื่อม” อาจมาเยือนเร็วกว่าที่คิด
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ชัชวาล รัตนบรรณกิจ อาจารย์แพทย์ประจำสาขาวิชาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ผู้ที่มีอาการหลงลืมเล็กน้อย แต่ยังไม่ถึงกับรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน อาจจัดอยู่ใน “ภาวะการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย” (Mild Cognitive Impairment – MCI)
ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนเริ่มแรกที่อาจพัฒนาสู่ “ภาวะสมองเสื่อม” โดยสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงวัย แต่ส่วนใหญ่มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี เป็นอาการที่เกิดจากความสามารถในการทำงานที่ลดลงกว่าที่เคยเป็นของสมอง
หากรู้ตัว หรือสังเกตเห็นบุคคลในครอบครัว หรือผู้ที่อยู่ในความดูแลว่ากำลังอยู่ใน “ภาวะ MCI” หรือการรู้คิดเสื่อมถอยลงอย่างน้อย 1 ใน 6 ด้าน อาทิ ความจำ สมาธิลดลง มีความยากลำบากในการรับรู้และใช้งานสิ่งของต่างๆ การใช้ภาษา การเข้าใจบุคคลอื่น ตลอดจนมีความสามารถในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาลดลง แนะนำให้เข้ารับการปรึกษาจากแพทย์เสียแต่เนิ่นๆ ก่อนอาจต้องกลายเป็นผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมไปโดยไม่รู้ตัว
ซึ่งโดยปกติแพทย์จะให้เข้ารับการทดสอบโรคสมองเสื่อมจากแบบทดสอบที่ได้มาตรฐาน และในบางรายแพทย์อาจพิจารณาให้เข้ารับการตรวจเพิ่มเติม อาทิ เจาะเลือดตรวจ CT scan เพื่อดูความผิดปกติของสมองผ่านการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ MRI สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในรายที่จำเป็นอาจต้องเข้ารับการวินิจฉัยด้วยความละเอียดสูงอื่นๆ
ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งในปัจจุบัน ได้นำไปสู่การค้นพบการตรวจพิเศษและยาใหม่ที่มีใช้กันแล้วในบางประเทศ แต่ยังพบข้อจำกัดทางด้านผลการศึกษาประสิทธิภาพและผลข้างเคียง รวมถึงต้องคำนึงถึงความคุ้มค่า ทำให้ต้องรอการพิจารณาให้ดีก่อนนำเข้ามาใช้รักษาผู้ป่วยภายในประเทศไทย
ทางที่ดีที่สุดของการป้องกันไม่ให้เกิดโรคสมองเสื่อมไม่ใช่ “การใช้ยา” แต่คือ “การดูแลตัวเอง” ด้วยการออกกำลังกายอย่างเพียงพอ และสม่ำเสมอ ห่างไกลบุหรี่ รวมทั้งเลือกรับประทานอาหารที่ไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรคในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน ที่จะทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมได้ต่อไป
และที่สำคัญจะต้องไม่ปล่อยให้ตกอยู่ในความเครียดที่เนิ่นนานและบ่อยครั้งจนเกินไป พยายามหากิจกรรมอื่นมาเบี่ยงเบนความสนใจ และฝึกสมอง อาทิ ร้องเพลง วาดรูป ศิลปประดิษฐ์ต่างๆ ฯลฯ
หากอยู่ร่วมกับผู้มีภาวะ MCI และสมองเสื่อมจะต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในอาการผิดปกติ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากเจตนาของผู้ป่วย ควรใช้ความระมัดระวังในการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรหลีกเลี่ยงใช้คำพูดในเชิงกล่าวโทษ หรือตำหนิติเตียน ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเกิดอารมณ์แปรปรวน ซึ่งอาจนำไปสู่ความวิตกกังวล ตลอดจนซึมเศร้าได้มากยิ่งขึ้น
เนื่องจากสมองเสื่อมเป็นภาวะที่พบได้บ่อย ส่งผลกระทบต่ออารมณ์และพฤติกรรม ในการรักษาจึงไม่ได้จำกัดอยู่ที่สาขาวิชาประสาทวิทยาแต่เพียงแห่งเดียว ผู้ที่พบอาการผิดปกติตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากสาขาอายุรศาสตร์ปัจฉิมวัย และสาขาจิตเวชศาสตร์ได้ หรือเบื้องต้นอาจปรึกษากับแพทย์ที่ดูแลท่านก่อนได้เช่นกัน
ติดตามข่าวสารที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ www.mahidol.ac.th
ข่าวได้รับการเผยแพร่ทางสื่อมวลชน
1.นสพ.ไทยโพสต์ 28-3-66 หน้า 7 https://op.mahidol.ac.th/ga/wp-content/uploads/twitter/news-2023-3-28-1.pdf
2.เมดิคอลโฟกัส 19-3-66 http://www.medicalfocusth.com/main/index.php?page=news.read&id=1551&mibextid=Zxz2cZ
3.เมดิคอลไทม์ 23-3-66 http://medi.co.th/news_detail41.php?q_id=2015
https://twitter.com/mahidolpr/status/1639078727605948418?s=20
4.นิตยสารสาระวิทย์ 19-3-66 https://www.nstda.or.th/sci2pub/ncds-mci/
5.ThaiPR.NET 20-3-66 https://www.thaipr.net/education/3315813
6.RYT9.COM 20-3-66 https://www.ryt9.com/s/prg/3407431
7.newswit 20-3-66 https://newswit.com/th/M2qb
8.Edupdate 20-3-66 https://www.edupdate.net/2023/33192/
